Tuesday, 30 April 2024
NEWS

วัดดังเมืองตรังปลูก 'เมล่อน-ดาวเรือง-ดอกมะลิ' ในวัด ให้ชาวบ้านเก็บฟรี เผย!! เป็นการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ตามโครงการ 'วัด-บ้าน-โรงเรียน'

(29 เม.ย. 67) ที่วัดเกาะมะม่วง หมู่ที่ 1 ต.บ้านควน อ.เมือง จ.ตรัง พระอธิการพานิช ฐิตธัมโม เจ้าอาวาสวัดเกาะมะม่วง ใช้เงินส่วนตัวสั่งซื้อเมล็ดพันธุ์เมล่อนสีทองมาปลูกไว้ที่หน้ากุฏิจำนวน 22 ต้น โดยทำเป็นซุ้มให้โค้งเข้าหากันทั้งสองด้าน ไม่มีโรงเรือน ไม่ใช้สารเคมีทุกชนิด ใช้ถุงสีเหลืองและสีขาวจากชุดสังฆทานที่ชาวบ้านนำมาถวาย มาตัดทำเปลให้เมล่อนนอน โดยใช้เวลาปลูกประมาณ 70-75 วัน ปรากฏว่าเมล่อนรุ่นแรกให้ผลดีเกินคาด

บรรดาญาติโยมที่มาทำบุญที่วัด เห็นเข้าต่างแห่จับจองเป็นเจ้าของ แม้ว่าเจ้าอาวาสจะบอกว่าไม่ได้ขาย จะปลูกไว้ฉันเองภายในวัด แต่สุดท้ายทนชาวบ้านรบเร้าไม่ไหว เพราะเห็นว่าลูกใหญ่ สีสวย ปลอดภัยจากสารพิษ เจ้าอาวาสฯ จึงให้เขียนชื่อติดไว้ จนมีไม่พอต่อความต้องการของชาวบ้าน และมีการเก็บไปกว่า 10 ลูกแล้ว โดยไม่มีการคิดมูลค่า แล้วแต่จิตศรัทธา แต่พระในวัดยังไม่ได้ฉันแม้แต่ลูกเดียว

ส่วนบริเวณหน้าโกศ (ภาคใต้เรียกหน้าบัว) หรือที่ใส่กระดูกคนตาย พระสงฆ์ได้ช่วยกันปลูกดอกดาวเรืองไว้จำนวน 600 ต้น เพื่อให้บานทันในช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่ผ่านมา ซึ่งชาวบ้านไม่ต้องซื้อดอกไม้ให้เก็บมาใช้ได้ แต่ดาวเรืองบานช้ากว่ากำหนดจากสภาพอากาศที่ร้อนจัด ทำให้หลังสงกรานต์ก็ยังมีดอกดาวเรืองบานสะพรั่ง สีเหลืองสวยงาม เป็นที่ถูกตา ต้องใจบรรดาแม่ค้าขายดอกไม้เป็นอย่างมาก

โดยได้มาขอซื้อวันละ 2,000-3,000 ดอก เพื่อนำไปร้อยมาลัยและขายต่อให้กับแม่ค้าเจ้าอื่น แต่เจ้าอาวาสให้เก็บฟรี ส่วนชาวบ้านใครจะใช้ดอกดาวเรืองก็มาเก็บฟรีได้เช่นกัน ซึ่งบางวันหากแม่ค้าเก็บไม่ทัน พระสงฆ์ในวัดก็ช่วยกันตัดส่งให้ เพื่อเป็นการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ตามโครงการ วัด บ้าน โรงเรียน ซึ่งในแปลงปลูกดอกดาวเรือง ยังมีแตงโมปลอดสารให้เก็บกินฟรีด้วย

นอกจากนี้พระสงฆ์ยังช่วยกันปลูกดอกมะลิไว้จำนวน 1,200 ต้น เพื่อให้มีกลิ่นหอมฟุ้งกระจายไปทั่ววัดทั้งกลางวันและกลางคืน โดยอนุญาตให้ชาวบ้านเก็บไปใช้ในงานเทศกาลต่าง ๆ ได้ ซึ่งทุกอย่างฟรีหมด แต่เจ้าอาวาสออกเงินส่วนตัวซื้อเองทั้งหมดและเป็นแบบนี้มานานหลายปีแล้ว ทำให้พระสงฆ์ของวัดนี้เป็นที่เคารพศรัทธาของชาวบ้านเป็นอย่างมาก

ส่วนผลไม้และต้นไม้ต่าง ๆ ปลูกไว้เป็นร่มเงา เพื่อให้ชาวบ้านได้นั่งพักผ่อน หรือใช้เป็นสถานที่นั่งปฎิบัติธรรม ที่อยู่ห่างจากตัวเมืองตรัง ประมาณ 5-6 กิโลเมตรเท่านั้น

ด้านพระอธิการพานิช ฐิตธัมโม เจ้าอาวาสวัดเกาะมะม่วง กล่าวว่า เมล่อนปลูกที่ซุ้มหน้ากุฏิเพื่อความสวยงามไม่ได้ปลูกขาย แต่โยมมาจองหมด ซึ่งก็แล้วแต่จะให้ลูกละ 10 บาท 20 บาท แต่ไม่มีใครเอาฟรี ส่วนมากก็ให้ลูกละ 200 บาทเป็นอย่างต่ำ ซึ่งรอบนี้ปลูกประมาณ 22 ต้นเพราะมีเนื้อที่จำกัดและปลูกในกระถาง โดยตั้งใจจะปลูกไว้ฉันเอง แต่พอโยมมาเห็น ต่างพากันจอง ซึ่งที่เจ้าอาวาสจองไว้ โยมยังขอเลยยกให้

โดยรอบต่อไปจะปลูกแตงโมในกระถาง ไม่ใช้ยาฆ่าแมลง เหลือเท่าไหร่ก็กินเท่านั้นและปลูกดาวเรืองไว้ 600 ต้นอาไว้ใช้ช่วงสงกรานต์แต่มีทั้งบานก่อนและหลังสงกรานต์ เกินเวลาที่คำนวณไว้ ซึ่งมีโยมมาตัดไปขาย ถ้าพระว่างก็ใช้พระตัดให้ แต่ส่วนมากพระไม่ได้ตัดให้ เพิ่งวันนี้วันแรก ส่วนมะลิปลูกไว้จำนวน 1,200 ต้น แต่ไม่ได้ปลูกเพื่อขายโดยบอกญาติโยมว่าถ้ามีงานมงคลหรืองานอะไรก็แล้วแต่ไม่ต้องไปซื้อที่ตลาดให้มาเอาที่วัดเกาะมะม่วงได้เลย แล้วแต่จะเอาไปใช้อะไร แต่ไม่ได้ขาย

‘น้องเกล โสพิชา’ รองชนะเลิศอันดับ 1 ‘Thailand's Got Talent’ ปัจจุบันเรียนคณะแพทยฯ วิทยาลัยแพทยฯ จุฬาภรณ์ราชวิทยาลัย

(29 เม.ย. 67) เพจเฟซบุ๊ก The Album โพสต์ภาพพร้อมข้อความระบุว่า…“ยังจำสาวน้อยคนนี้ได้กันรึป่าว? ‘น้องเกล โสพิชา’ รองชนะเลิศอันดับ 1 รายการ Thailand's Got Talent ล่าสุดเธอได้สอบติดคณะแพทยศาสตร์ และเผยภาพแรกในฐานะนักศึกษา ตอนนี้โตเป็นสาวแล้ว”

สำหรับน้องเกล โสพิชา อังคะไวมงคล เป็นศิลปินอูคูเลเล่ตัวน้อย เจ้าของตำแหน่งรองชนะเลิศอันดับ 1 จากเวทีการประกวด Thailand’s Got Talent ซึ่งในขณะประกวดนั้น ‘น้องเกล’ มีวัยแค่เพียง 6 ขวบ

เบนซ์ พรชิตา ณ สงขลา หนึ่งในกรรมการ ถึงกับเอ่ยว่า “เป็นเด็ก 6 ขวบที่เก่งมาก อย่างที่เบนซ์บอก อูคูเลเล่ใครเล่นได้ก็จริง แต่สำหรับเด็ก 6 ขวบเล่นได้ขนาดนี้ แล้วก็ร้องเพลง ต้องบอกว่าภาษาอังกฤษเป๊ะนะจ๊ะ ตรงคีย์ด้วย”

ความน่ารัก ความสามารถของ ‘น้องเกล’ ทำให้กรรมการประทับใจไปตาม ๆ กัน และพร้อมใจให้ 3 ผ่านเลย

วันเวลาผ่านไปเป็น 10 ปี ขณะนี้ ‘น้องเกล’ โตขึ้นมาก วันนี้เธอได้เข้าศึกษาต่อระดับอุดมศึกษา คณะแพทยศาสตร์ วิทยาลัยแพทยศาสตร์ศรีสวางควัตร จุฬาภรณ์ราชวิทยาลัย ในรอบ Portfolio เมื่อปีที่แล้ว (2566) นั่นเอง

'หมอธีระ' เตือน!! โควิด-19 ไม่ใช่หวัดธรรมดา ไม่กระจอก ชี้!! รอบนี้มากกว่า 1 ใน 3 ของผู้ป่วยหนัก ไม่ใช่ผู้สูงอายุ

(29 เม.ย. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ผศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ อาจารย์คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์เฟซบุ๊ก ‘Thira Woratanarat’ ระบุว่า... 

วิเคราะห์การระบาดของไทย…
สัปดาห์ล่าสุด 21-27 เมษายน 2024

จำนวนผู้ป่วยรักษาตัวในโรงพยาบาล 1,672 ราย เสียชีวิต 9 ราย ปอดอักเสบ 390 ราย และใส่ท่อช่วยหายใจ 148 ราย

ผู้ป่วยนอนรักษาตัวใน รพ.มากกว่าสัปดาห์ก่อนถึง 66.5% และขึ้นต่อเนื่อง 7 สัปดาห์ติดต่อกัน เสียชีวิตเพิ่มขึ้น 3 เท่า

จำนวนปอดอักเสบ เพิ่มขึ้น 33.6% และใส่ท่อช่วยหายใจก็เพิ่มขึ้น 46.5%

คาดประมาณจำนวนคนติดเชื้อใหม่ต่อวันอย่างน้อย 11,943-16,588 ราย

อย่างไรก็ตาม ประเมินว่าจำนวนติดเชื้อจริงจะมากกว่านี้

ชัดเจนว่าการเพิ่มขึ้นข้างต้น ไม่ได้เป็นการเพิ่มเล็กน้อย แต่เพิ่มอย่างมีนัยสำคัญ

แม้จะมีลักษณะพุ่งขึ้นคล้ายปีก่อน แต่จำนวนผู้ป่วยเริ่มต้นก่อนสงกรานต์ปีนี้นั้นมากกว่าปีก่อนอย่างมาก ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้สูงที่สถานการณ์จะหนักกว่าเดิม หากไม่ป้องกันควบคุมโรคให้ดี

หากดูจำนวนผู้ป่วยที่ต้องใส่ท่อช่วยหายใจ 148 ราย เป็นคนที่ไม่ใช่สูงอายุคือ 0-59 ปี ถึง 55 ราย คิดเป็น 37.1% มากกว่าหนึ่งในสามของทั้งหมด ดังนั้นแม้ไม่ใช่ผู้สูงอายุ ก็ควรป้องกันตัวให้ดีเช่นกัน

โควิด-19 ไม่ใช่หวัดธรรมดา ไม่กระจอก ไม่ได้เป็นไปตามฤดูกาล แต่แปรผันกันปัจจัยเสี่ยงที่เกิดขึ้น ทั้งเรื่องเทศกาล กิจกรรม รวมถึงพฤติกรรมป้องกันตัวของประชาชน

ติดแต่ละครั้ง นอกจากเสี่ยงป่วย ป่วยรุนแรง หรือเสียชีวิตแล้ว ยังเสี่ยงต่อ Long COVID ที่บั่นทอนคุณภาพชีวิตระยะยาว

ช่วยกันป้องกันตัวนะครับ เพื่อให้ตัวเรา และคนที่เรารักปลอดภัย

อย่าปล่อยแบบ let it rip เพราะสุดท้ายแล้วผลลัพธ์สุขภาพที่เกิดขึ้น ไม่มีใครแบกรับ นอกจากตัวเราและครอบครัว…

'นปพ.นราธิวาส' เจ็บเล็กน้อย 4 ราย หลังถูกคนร้ายลอบจู่โจม โชคดี!! รถหุ้มเกราะช่วยไว้ เซฟชีวิตจากทั้ง 'ระเบิด-กระสุน'

(29 เม.ย.67) เวลาประมาณ 24.00 น. เกิดเหตุคนร้ายลอบวางระเบิดและยิงปะทะเจ้าหน้าที่หน่วยปฏิบัติการพิเศษ (นปพ.) นราธิวาส 33 บริเวณบ้านกวาลอซีรา หมู่ 7ตำบลปาเสมัส อำเภอสุไหงโก-ลก จังหวัดนราธิวาส เจ้าหน้าที่ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย 4 นาย

พ.ต.อ.เจษฎาวิทย์ อินทร์ประพันธ์ ผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรสุไหงโก-ลก เปิดเผยว่า เหตุเกิดขณะเจ้าหน้าที่ นปพ.นราธิวาส 33 จำนวน 4 นาย เตรียมเดินทางไปเข้าเวรที่จุดตรวจในเขตเทศบาลเมืองสุไหงโก-ลก เมื่อมาถึงจุดเกิดเหตุบนถนนใหญ่ ห่างจากฐานปฏิบัติการ นปพ.นราธิวาส 33 ประมาณ 200 เมตร คนร้ายได้กดระเบิดทำให้รถยนต์ได้รับความเสียหาย โชคดีที่เจ้าหน้าที่ใช้รถหุ้มเกราะจึงได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย โดยเจ้าหน้าที่ทั้ง 4 นายได้ลงจากรถและยิงปะทะกับคนร้ายที่มีการดักซุ่มยิงระยะไกลจากถนนฝั่งตรงข้าม

พ.ต.อ.เจษฎาวิทย์ กล่าวว่า ในห้วงเวลาดังกล่าวคนร้ายได้โรยตะปูเรือใบบนถนนใกล้จุดเกิดเหตุ และเผายางรถหน้าสำนักงานขนส่งจังหวัดนราธิวาส สาขาสุไหงโก-ลก เพื่อขัดขวางไม่ให้เจ้าหน้าที่จากภายนอกเข้าไปให้ความช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ที่ประสบเหตุ ซึ่งหลังเหตุปะทะสงบลงพบว่าเจ้าหน้าที่ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยจากสะเก็ดระเบิด

ส่วนมาตรการของฝ่ายความมั่นคงได้มีการประสานหน่วยกำลังของทุกชุดปฏิบัติการตามแผนรักษาความปลอดภัยเมือง ตำรวจ ทหาร ฝ่ายปกครอง ปิดเส้นทางฝั่งขาเข้าเมืองสุไหงโก-ลก ทั้ง 3 ด่าน ประกอบด้วย ด่านน้ำตก ด่านบุญลาภนฤมิตร ด่านบ้านน้ำขาว และปิดท่าข้ามริมฝั่งแม่น้ำโก-ลก พร้อมทั้งมีการลาดตระเวนเส้นทางตลอดแนวริมฝั่งแม่น้ำโก-ลก และตรวจสอบพื้นที่บริเวณใกล้เคียงทั้งหมด อีกทั้งได้มีการใช้โดรนสำรวจในพื้นที่เกิดเหตุด้วย

“ดังนั้น สำหรับประชาชนขอให้งดการเดินทางออกจากบ้าน รวมทั้งการใช้เส้นทางในพื้นที่เกิดเหตุ โดยเฉพาะเส้นทางสุไหงโก-ลก-มูโนะ ที่จำเป็นต้องเคลียร์รถยนต์ต้องสงสัย ตะปูเรือใบ และการเผายางรถในพื้นที่ รวมทั้งตรวจสอบวัตถุต้องสงสัยเพิ่มเติมหวั่นการก่อเหตุซ้ำ” พ.ต.อ.เจษฎาวิทย์ กล่าว

พ.ต.อ.เจษฎาวิทย์ กล่าวว่า จากเดิม นปพ.นราธิวาส 33 มีรถยนต์หุ้มเกราะ จำนวน 1 คัน แต่เนื่องจากห้วงที่ผ่านมาได้รับความเสียหายขณะเข้าตรวจค้นจับกุมเหตุผู้ต้องหาพร้อมของกลางคดียาบ้าล็อตใหญ่ โดยรถยังอยู่ระหว่างการซ่อมแซม จึงได้สั่งการให้นำรถหุ้มเกราะของ สภ.สุไหงโก-ลกไปใช้เป็นการชั่วคราว เนื่องจากเห็นว่าต้องปฏิบัติงานในพื้นที่เสี่ยง จึงทำให้เรารักษาชีวิตของเจ้าหน้าที่ นปพ.นราธิวาส 33 ที่ประสบเหตุไว้ได้

POLITICS

‘ชมรมแพทย์ชนบท’ ขอบคุณ ‘ชลน่าน’ ในการมุ่งมั่นปฏิบัติหน้าที่ พร้อมให้กำลังใจ ‘สมศักดิ์’ สานต่อภารกิจ เพื่อสุขภาพที่ดีของคนไทย

(29 เม.ย.67) เพจเฟซบุ๊ก ‘ชมรมแพทย์ชนบท’ ได้โพสต์ข้อความระบุว่า…

ชมรมแพทย์ชนบท ขอขอบคุณ รมต.ชลน่าน ศรีแก้ว ในความมุ่งมั่นในการทำหน้าที่ที่ผ่านมา  ผลงานเด่นคือการวางรากฐาน reset งานใหม่ทั้งหมด หลังยุคอนุทินที่แทบไม่ได้ขยับอะไรนอกจากนโยบายกัญชา แต่อุปสรรคที่มีมาก โดยเฉพาะจากข้าราชการที่คุมไม่อยู่ ระดับบิ๊กยังอืดไม่ตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลง

ไม่ตอบสนองก็แย่แล้ว แต่ยังวางยารัฐมนตรีด้วย จนถูกข้าราชการวางกับดักให้เกิดเป็นคู่ขัดแย้งอย่างไม่รู้ตัวกับ สปสช. ชัดจนคนในวงการต่างก็อ่านเกมส์ออกว่า ข้าราชการก๊กนั้น เสี้ยมและใช้รัฐมนตรีเป็นเครื่องมือคุกคาม สปสช. หวังวางระบบประกันสุขภาพที่ สธ.เป็นใหญ่ แต่เมื่อหลักการผิด แนวทางปฏิบัติไม่เวิร์ก จึงกลายเป็นปัญหาใหญ่ในนโยบายสามสิบบาทรักษาทุกที่ที่รอการแก้ไข

ไม้ผลัดทางนโยบายสามสิบบาทรักษาทุกที่ จากรากฐานที่รัฐมนตรีชลน่านวางไว้ กำลังจะถูกส่งต่อให้รัฐมนตรีสมศักดิ์ เทพสุทิน ภารกิจทางนโยบายที่สำคัญต่อประชาชนคนไทย และสำคัญต่ออนาคตของพรรคเพื่อไทยด้วย

แน่นอนว่าไม่ง่าย โดยเฉพาะจากข้าราชการที่ขยันเดินตามแต่ไม่ขยันทำงานยังเป็นอุปสรรค ขยันก็แต่ไหว้พระสายมูงมงายกับการขอพรและสร้างพระทำบุญหวังให้อยู่ตลอดรอดฝั่ง

นอกจากนี้ ข้าราชการก๊กนี้ยังเกียร์ว่าง ละเลยงานสุขภาพปฐมภูมิ ย้ายคนจนวุ่นวาย รากฐานงานปฐมภูมิที่วางมาดีสั่นคลอน การแก้ปัญหายาเสพติดจึงสะดุด การสาธารณสุขรากฐานไม่ก้าวหน้า  การกระจายอำนาจด้านสุขภาพก็สับสน

ชมรมแพทย์ชนบทขอเป็นกำลังใจให้กับรัฐมนตรีชลน่าน ศรีแก้ว และรัฐมนตรีสมศักดิ์ เทพสุทิน ร่วมกันฝ่าฟันอุปสรรค สานต่อภารกิจ สถาปนาหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าที่ดีที่สุดเพื่อคนทุกคนบนแผ่นดินไทย

'เพจดัง' จับโป๊ะ!! เด็กก้าวไกลเกณฑ์คนไปฟังธนาธรพูดเรื่อง สว. เนียน!! สั่งทุกคนห้ามใส่ 'เสื้อ-สัญลักษณ์' ของพรรคก้าวไกลไป

(29 เม.ย. 67) จากเพจ 'วันนี้ก้าวไกลโกหกอะไร-สำรอง' ได้โพสต์ข้อความพร้อมภาพกรณี 'ธีรุตม์ สันหวัง' อดีตผู้สมัครพรรคก้าวไกล ชวนคนไปฟังนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ พูดตั้งทีมเลือก สว. ว่า...

#ทุกคนคะ พบอดีตผู้สมัครพรรคก้าวไกล ปัจจุบันเป็นทีมงานพรรคภาคใต้ เกณฑ์คนไปฟังธนาธร พูดตั้งทีมเลือก สว. 

พบคนที่ไปฟังเป็นสมาชิกและฐานเสียงพรรค ถูกสั่งห้ามใส่เสื้อและแสดงสัญลักษณ์ของพรรคก้าวไกลด้วยค่ะ

นอกจากนี้ ทางเพจวันนี้ก้าวไกลโกหกอะไร-สำรอง ยังเผยอีกว่า นายธนาธรมีการชี้นำหลายจุด และทางเพจก็มีภาพและคลิปพร้อม แต่ยังไม่รู้จะส่งใครได้บ้าง เนื่องจากเบื่อ กกต.

ทั้งนี้ หากย้อนไปดูข้อความจากเพจของนายธีรุตม์ สันหวัง ได้ระบุข้อความที่โพสต์ไว้เมื่อวันที่ 17 เม.ย.67 ความว่า...

มีคนถามผมเกี่ยวกับเรื่อง สว. ว่า เขาเลือกกันยังไงวะ

วันนี้ !!! วันนี้ 18.00 น.ณ ปั้ม ปตท. บางม่วง เชิญผู้สนใจ

เข้าร่วมงาน 'ขอความร่วมมือ' ต้องไม่ใส่เสื้อพรรคก้าวไกล เนื่องจากงานนี้พูดเรื่อง สว. และ สว.ต้องเป็นอิสระจาก 'พรรคการเมือง'

'โฆษก รทสช.' เห็นด้วย 'คนการเมือง' ห้ามข้องเกี่ยวเลือกตั้ง สว. หากต้องการบุคคลที่ปลอดจากการเมืองอย่างแท้จริง

(29 เม.ย. 67) นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สส.ราชบุรี โฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ให้สัมภาษณ์ถึงความเคลื่อนไหวในการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ว่า อยากให้ทุกฝ่ายปฏิบัติตามประกาศของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เพราะรัฐธรรมนูญกำหนดไว้ชัดเจนว่า ไม่ต้องการให้การเมืองเข้าไปข้องเกี่ยวกับการเลือกตั้งสว. ดังนั้นทุกฝ่าย ต้องปฏิบัติตามกฎหมาย และเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ เพื่อให้ สว. ที่ได้รับเลือกตั้งเข้ามาเป็นกลางทางการเมืองอย่างแท้จริง

โฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ กล่าวว่า ในส่วนของพรรครวมไทยสร้างชาติ นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พลังงาน ในฐานะหัวหน้าพรรค และนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ สส.บัญชีรายชื่อ ในฐานะเลขาธิการพรรคได้กำชับ สส. และสมาชิกพรรคทั่วประเทศว่า ทุกคนต้องปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด ทั้งกฎหมายรัฐธรรมนูญ และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2561 ไม่สนับสนุนผู้ใดทั้งทางตรงและทางอ้อม

"ฝ่ายการเมืองและพรรคการเมือง ไม่ควรเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องในการเลือกตั้งสว.ในครั้งนี้ ไม่ว่ากรณีใด ๆ เพื่อให้ได้ สว. ที่เป็นกลางปลอดจากการเมืองอย่างแท้จริง เพราะ สว.มีหน้าที่สำคัญเข้าไปคัดสรรเลือกบุคคลเข้ามาดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ จึงจำเป็นต้องได้บุคคลที่ปลอดจากการเมืองไม่มีผลประโยชน์แอบแฝง ดังนั้นทุกฝ่ายต้องเคารพและปฏิบัติตามกฎหมายและกติกาที่คณะกรรมการการเลือกตั้งได้ประกาศออกมา" นายอัครเดช กล่าว

TRENDING
ECONBIZ

'รัดเกล้า' เผย!! 6 ธนาคาร ขานรับนโยบายรัฐ พาเหรด!! หั่นดอกเบี้ย 0.25% นาน 6 เดือน

(29 เม.ย. 67) นางรัดเกล้า อินทวงศ์ สุวรรณคีรี รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ธนาคารหลายแห่งร่วมขานรับนโยบายรัฐบาล หลังสมาคมธนาคารประกาศลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลง 0.25% เป็นเวลา 6 เดือน มีผลตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคมนี้ เป็นต้นไป 

โดยมีเป้าหมายช่วยเหลือลูกหนี้ทุกกลุ่ม อันเป็นผลจากที่นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เชิญผู้บริหารธนาคารมาพูดคุยหารือเรื่องปัญหาเศรษฐกิจ จากนั้นสมาคมธนาคารก็ได้มีมติร่วมกันในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อช่วยเหลือลูกค้ารายย่อย และกลุ่มเปราะบางตามนโยบายรัฐบาล โดยนายกฯ ชื่นชมสมาคมธนาคารไทย และธนาคารสมาชิกที่ให้ความสำคัญกับการดูแลลูกค้า โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง เข้าใจถึงภาระค่าใช้จ่ายของประชาชนและผู้ประกอบการรายย่อย เป็นการช่วยเหลือทั้งภาคธุรกิจ และประชาชนโดยรวม

รองโฆษกรัฐบาล กล่าวว่า ธนาคาร และสถาบันการเงินที่ร่วมขานรับนโยบาย อาทิ 

1.ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM Bank) ปรับดอกเบี้ยลง 0.4% เหลือ 6.35% แบงก์แรกของรัฐที่ลดและลดดอกเบี้ยเหลือต่ำที่สุด มีผลตั้งแต่วันที่ 30 เม.ย.นี้ 

2.ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ปรับลดดอกเบี้ย 0.25% ลูกค้ากู้บ้าน 1.8 ล้านราย 

3.บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม ปรับลดดอกเบี้ย 0.25% มีผลตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคมนี้ 

4.ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ปรับลดดอกเบี้ย 0.25% 

5.ธนาคารกรุงเทพ ปรับลดดอกเบี้ย 0.25% มีผลตั้งแต่วันที่ 29 เมษายนนี้ 

และ 6.ธนาคารออมสิน ปรับลดดอกเบี้ย 0.40% เหลือ 6.95% ซึ่งต่ำสุดในกลุ่มธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ และลดให้อัตโนมัติ ไม่ต้องติดต่อธนาคาร เป็นต้น

“ประชาชน และกลุ่ม SMEs ถือเป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศ การปรับลดดอกเบี้ยแม้เพียงแค่ 6 เดือน แต่ก็ช่วยให้สามารถเอาไปต่อยอดได้ โดยรัฐบาลไม่ได้นิ่งนอนใจ เดินหน้าหามาตรการ และแนวทาง เพื่อแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายของพี่น้องประชาชนให้ได้มากที่สุดอย่างต่อเนื่อง” นางรัดเกล้า กล่าว

‘สุริยะ’ ลุยต่อ!! ดันรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ลั่น!! ก.ย.68 เชื่อมครบทุกสี แง้ม!! กำลังคุย ‘พรบ.ตั๋วร่วม’

(29 เม.ย. 67) นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คมนาคม เปิดเผยถึงแนวทางการดำเนินการนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสายนั้น มั่นใจว่าจะใช้ระยะเวลาประมาณ 2 ปี หรือ ช่วงกันยายน 2568 รถไฟฟ้าทุกสี และทุกสาย จะเข้าร่วมนโยบายทั้งหมด ขณะที่รถไฟฟ้าสีอื่น ๆ ที่อยู่ในขั้นตอนการก่อสร้างและเตรียมก่อสร้าง ซึ่งเมื่อโครงการแล้วเสร็จ หากตนยังคงดำรงอยู่ในตำแหน่งรมว.คมนาคม ขอยืนยันว่าจะผลักดันให้เข้าร่วมนโยบายทั้งหมดเช่นกัน

นายสุริยะ กล่าวต่อว่า นโยบายดังกล่าวนอกจากเป็นการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนแล้ว ยังสามารถลดปัญหา PM 2.5 ในขณะนี้ได้อีกด้วย เนื่องจากประชาชนที่ใช้รถยนต์ส่วนตัวได้มีการปรับเปลี่ยนการเดินทางมาใช้รถไฟฟ้าแทน รวมถึงยังแก้ปัญหาการจราจรติดขัดในพื้นที่ได้อีกด้วย

นอกจากนี้ยังอยู่ระหว่างพิจารณาแนวทางการจัดเส้นทาง Feeder เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย พร้อมคาดว่าภายในระยะ 2-3 เดือนนี้จะเห็นความชัดเจน ซึ่งนอกเหนือจาก ขสมก. แล้ว หากเอกชนรายใดที่มีความพร้อมด้านการให้บริการขนส่ง ก็สามารถเข้าร่วมการจัดเส้นทาง Feeder ได้ ซึ่งแผนระยะสั้นจะผลักดันประมาณ 30 เส้นทาง เพื่อรองรับการให้บริการรถไฟฟ้าสายสีม่วงและสายสีแดง

ส่วนระยะต่อไป คาดเป็นช่วงปี 2568-2569 จะเพิ่มจำนวนเพิ่มเติม เพื่อรองรับการเชื่อมต่อรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน สายสีเขียว สายสีชมพู และสายสีส้ม และอีก 66 เส้นทางจะดำเนินการในระยะถัดไปตั้งแต่ปี 2570 เป็นต้นไป

ด้านแผนจัดทำ พ.ร.บ.ตั๋วร่วม ขณะนี้มีการเจรจากับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว และอยู่ระหว่างพิจารณาถึงหลักการด้านต่าง ๆ ที่มีความเหมาะสม เบื้องต้นคาดว่าภายในปี 2568 จะมีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น ขณะเดียวกันยังได้เตรียมแผนจัดตั้งกองทุนเพื่อชดเชยผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องจากมาตรการดังกล่าว โดยเม็ดเงินจากกองทุนที่จะนำมาชดเชยนั้นจะมาจากขอรับการสนับสนุนจากกองทุนอนุรักษ์พลังงาน การสนับสนุนงบประมาณจากรัฐบาล เป็นต้น

ส่งออกมีนาคมไทย ติดลบ 10.9% ต่ำกว่าที่คาดไว้ที่ลบ 4% หยุดสถิติส่งออกไทยโต 7 เดือนติด สู่ติดลบแรกในรอบ 8 เดือน

(29 เม.ย. 67) นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์ เปิดเผยว่า การค้าระหว่างประเทศ หรือการส่งออกเดือนมีนาคม 2567 พบว่ามีมูลค่า 24,960.6 ล้านดอลลาร์ หดตัว 10.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2566 ส่วนการนำเข้ามูลค่า 26,123.8 ล้านดอลลาร์ ขาดดุล 1,163.3 ล้านดอลลาร์

สาเหตุจากฐานการส่งออกที่สูงในเดือนเดียวกันของปี 2566 แต่ยังคงรักษาระดับการส่งออกได้ใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยของมูลค่าการส่งออกย้อนหลัง 5 ปี จากปัจจัยหลายด้าน เช่น เศรษฐกิจโลกมีความไม่แน่นอน และขยายตัวต่ำ ปัญหาความตึงเครียดภูมิรัฐศาสตร์ การดำเนินนโยบายทางการเงิน หรืออัตราดอกเบี้ยอย่างเข้มงวดยาวนาน ส่งผลต่อกำลังซื้อปัญหาหนี้สิน และการตัดสินใจลงทุนของภาคธุรกิจ

หากพิจารณาในภาพรวม 3 เดือนแรก หรือไตรมาสที่ 1 ของปี 2567 พบว่า มีมูลค่า 70,995.3 ล้านดอลลาร์ หดตัว 0.2% เทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2566 การนำเข้า มีมูลค่า 75,470.5 ล้านดอลลาร์ ขยายตัว 3.8% ดุลการค้า ไตรมาสแรกของปี 2567 ขาดดุล 4,475.2 ล้านดอลลาร์

ทั้งนี้ การส่งออกของไทยในเดือนกุมภาพันธ์ 2567 มีมูลค่า 23,384.9 ล้านเหรียญสหรัฐ (827,139 ล้านบาท) ขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 7 ที่ร้อยละ 3.6 หากหักสินค้าเกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน ทองคำ และยุทธปัจจัย ขยายตัวร้อยละ 2.3

LITE

29 เมษายน วันคล้ายวันประสูติ สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าทีปังกรรัศมีโชติ มหาวชิโรตตมางกูร สิริวิบูลยราชกุมาร

สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าทีปังกรรัศมีโชติ มหาวชิโรตตมางกูร สิริวิบูลยราชกุมาร ประสูติเมื่อวันศุกร์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2548 เวลา 18.35 น. ณ โรงพยาบาลศิริราช เป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ประสูติแต่ท่านผู้หญิงศรีรัศมิ์ สุวะดี ขณะยังเป็นพระวรชายาในสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร พระองค์มีพระเชษฐภคินีต่างพระมารดา 2 พระองค์ คือ สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา และสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา

คณะแพทย์ถวายพระประสูติโดยการผ่าตัด เมื่อแรกประสูติ พระองค์เจ้าทีปังกรรัศมีโชติทรงมีน้ำหนัก 2,680 กรัม ความยาวพระองค์ 47 เซนติเมตร รอบพระเศียร 31 เซนติเมตร ลืมพระเนตรเวลา 19.00 น. มีพระพลานามัยสมบูรณ์ แข็งแรง พระเนตรโต พระนาสิกโด่ง

พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานพระราชหัตถเลขาขนานพระนามว่า ‘พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าทีปังกรรัศมีโชติ’ เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2548 และพระราชทานเสมาอักษรพระปรมาภิไธย ภ.ป.ร.ทองคำ ส่วนพระนามของพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าทีปังกรรัศมีโชตินั้น พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงพระมหากรุณาธิคุณอธิบายพระนามของพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าทีปังกรรัศมีโชติ ว่า ‘ผู้ทำประทีปคือปัญญาให้สว่างกระจ่างแจ้ง, ผู้ทำเกาะคือที่พึ่งให้รุ่งเรืองโชติช่วง’

ต่อมาเมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2548 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้เขียนพระนามของพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าทีปังกรรัศมีโชติ เป็นภาษาอังกฤษว่า ‘His Royal Highness Prince Dipangkorn Rasmijoti’

‘นิโคล เทริโอ’ นักร้องขวัญใจวัยรุ่นยุค 90 เผยหน้าใหม่ หลัง ‘หมอเกาหลี’ อัพความสวยมาให้ จึ้งกว่าเดิม 

(28 เม.ย. 67) กาลเวลาทำอะไรไม่ได้เลยจริงๆ นักร้องดังคุณแม่ลูกหนึ่ง ‘นิโคล เทริโอ’ ที่ใครๆ ก็บอกว่า หน้าเด็กกว่าวัยตลอดกาล แต่ไม่นานมานี้ นิโคล ในวัย 51 ปี ก็ขอพึ่งมีดหมออัพสวยให้ปัง ให้จึ้งกว่าเดิม ด้วยการบินไปเกาหลียกเครื่องหน้าศัลยกรรมถึง 9 รายการ

โดยหลังจากที่ได้ทำศัลยกรรมมาครบ 1 เดือน นักร้องคนดังก็ได้มาเปิดหน้าให้แฟนๆ ได้เห็นด้วยการลงคลิปในอินสตาแกรมส่วนตัว พร้อมบอกด้วยว่าคลิปนี้ไม่ได้ใช้แอปพลิเคชันแต่อย่างใด และต้องใช้ระยะเวลาประมาณ 6 เดือนใบหน้าจะหายบวมและยุบเข้าที่

ซึ่งเจ้าตัวก็โพสต์ภาพรัวๆ ลงอินสตาแกรม ล่าสุดใบหน้าก็เริ่มปังขึ้นเรื่อยๆ ดูสดใสและหน้าเด็กขึ้น ทำเอาแฟนๆ ที่ติดตามร้องว้าว!! กันยกใหญ่ โพสต์ชมกันมากมาย อาทิ คุณแม่สวยมาก , น่ารักจนใจเจ็บ , หน้าเด็กมากค่า ฯลฯ

28 เมษายน พ.ศ. 2493 วันคล้ายวันราชาภิเษกสมรส ’ในหลวง ร.9 - สมเด็จพระราชชนนีพันปีหลวง‘ นับเป็นครั้งแรกของพระมหากษัตริย์ไทย ที่จดทะเบียนสมรสตามกฎหมาย

เมื่อวันที่ 28 เมษายน เป็นวันคล้ายวันราชาภิเษกสมรส พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง นับเป็นอีกวันหนึ่ง ที่สำคัญยิ่งที่ทั้งสองพระองค์ทรงประกอบพระราชพิธีราชาภิเษกสมรส ณ วังสระปทุม เมื่อวันที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2493 อันเป็นครั้งแรกของพระมหากษัตริย์ไทยแห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ที่ทรงจดทะเบียนสมรสตามกฎหมาย

ย้อนหลังไปเมื่อพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เมื่อครั้งดำรงพระอิสริยยศเป็นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชฯ ตั้งแต่วันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2489 ที่เสด็จขึ้นเถลิงถวัลยราชสมบัติ จากนั้นพระองค์ได้เสด็จไปศึกษาต่อที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์

ระหว่างที่ประทับอยู่เมืองโลซานน์ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ได้ทรงประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ ได้รับบาดเจ็บที่พระเนตร เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2491 ทรงได้รับการถวายการรักษาที่โรงพยาบาลในเมืองโลซานน์ โดยมีหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ ที่ทรงพบก่อนหน้านั้นถวายการพยาบาลอยู่ด้วย

ต่อมาได้ทรงหมั้นกับหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ กิติยากร ธิดาในพระวรวงศ์เธอ กรมหมื่นจันทบุรีสุรนาถ (ขณะนั้นคือ พันเอก หม่อมเจ้านักขัตรมงคล เอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงลอนดอน) กับ หม่อมหลวงบัว กิติยากร (สนิทวงศ์) เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2492 ณ เมืองโลซานน์

และเมื่อเสด็จพระราชดำเนินนิวัติพระนคร ถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลแล้ว จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดการพระราชพิธีราชาภิเษกสมรสในวันที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2493 ณ พระตำหนักสมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ในวังสระปทุม อีกทั้งยังทรงให้จดทะเบียนสมรสตามกฎหมายไทยอีกด้วย ในฐานะที่ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตย

พระองค์ทรงลงพระปรมาภิไธยในสมุดทะเบียนสมรสเป็นพระองค์แรก และหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ กิติยากร ได้ลงนามในสมุดเป็นบุคคลที่สองในฐานะคู่สมรส ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 ขณะนั้นเจ้าสาวยังมีอายุเพียง 17 ปีเศษ ยังไม่บรรลุนิติภาวะ จึงต้องได้รับความยินยอมจากบิดา มารดา หรือผู้ปกครองก่อนตามกฎหมาย ดังนั้นหม่อมเจ้านักขัตรมงคล กิติยากร พระบิดาของเจ้าสาวจึงต้องลงพระนาม แสดงความยินยอมและรับรู้ในการจดทะเบียนสมรสครั้งนี้ด้วย

ต่อมา ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้อาลักษณ์อ่านประกาศสถาปนาหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ พระอัครมเหสี เป็นสมเด็จพระราชินีสิริกิติ์ และพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์มหาจักรีบรมราชวงศ์แก่สมเด็จพระราชินีในโอกาสนี้ด้วย

นอกจากนี้ในงานพระราชพิธีราชาภิเษกสมรสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกับสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ผู้เข้าร่วมพิธีจะได้รับพระราชทานของที่ระลึก คือ หีบเงินเล็ก ซึ่งบนฝาหีบประดับด้วยอักษรพระบรมนามาภิไธย และพระนามาภิไธย

ทั้งนี้ นับแต่นั้นเป็นต้นมา พระราชปณิธานและพระราชกรณียกิจในพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ที่มีต่ออาณาประชาราษฎร์ ก็ได้ถ่ายทอดมายังพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง และทรงงานร่วมกันต่อเนื่องมามิได้ขาด

PODCAST

‘ผู้นำ’ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา | THE STATES TIMES STORY ตอนพิเศษ

เรื่องราวจากหนังสือ ‘ผู้นำ’ บรรณธิการโดย อัศวินโต๊ะกลม เป็นหนังสือที่รวบรวมผลงานและการทำงานของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะนายกรัฐมนตรี คนที่ 29 ของไทย ตลอดกว่า 8 ปีที่ผ่านมา เป็นผู้พลิกโฉมประเทศไทยไปตลอดกาล ให้สามารถโลดแล่นต่อไปได้อย่างไม่อายใคร นอกจากนี้ยังเป็นนายกรัฐมนตรี ‘สองแผ่นดิน’ ที่มีความโดดเด่นในหลายเรื่อง โดยเฉพาะความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ความยึดมั่นในผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนเป็นสำคัญ

💙ผู้นำ ตอนที่ 1 : ผู้นำช่วงวิกฤติ

💙ผู้นำ ตอนที่ 2 : สร้างคน สร้างพลเมืองดี

💙ผู้นำ ตอนที่ 3 : ประชาชน ประเทศชาติ คือหัวใจของ ‘ประชารัฐ’

💙ผู้นำ ตอนที่ 4 : รู้เท่าทัน ทำทันที เห็นผลเป็นรูปธรรม

💙ผู้นำ ตอนที่ 5 : ‘ลุงตู่’ คือหมอใหญ่ นำทีมผ่าตัดเศรษฐกิจไทย

💙ผู้นำ ตอนที่ 6 : ‘กลยุทธ์ 3 แกน’ สร้างอนาคตไทยให้ก้าวหน้า

💙ผู้นำ ตอนที่ 7 : ‘ลุงตู่’ สุดยอด ‘ผู้นำ’ พาประเทศฝ่าฟันทุกวิกฤต

💙ผู้นำ ตอนที่ 8 : ก้าวข้าม ‘วิกฤตซ้อนวิกฤต’ พาประเทศมุ่งสู่ ‘โอกาส’

💙ผู้นำ ตอนที่ 9 : ‘ผู้นำ’ ยุคดิจิทัล พาไทยเข้าสู่ยุค 4.0

💙ผู้นำ ตอนที่ 10 : 'ลุงตู่' ผู้นำที่ฉันอยาก 'เดินตาม'

 

 

 

‘มาเหนือเมฆ’ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา | THE STATES TIMES STORY ตอนพิเศษ

หนังสือ 'มาเหนือเมฆ' เรื่องราวบนเส้นทางการเมืองและผลงานของ 'ลุงตู่' พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ทหารเสือราชินีผู้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 29 ของประเทศไทย 

รวบรวมบทความที่นักคิด นักวิเคราะห์ นักเขียนรับเชิญหลายท่านมาช่วยกันเติมแต่ง ได้แก่ คุณรุ่งเรือง ปรีชากุล อดีตบรรณาธิการบริหารสยามรัฐสัปดาหวิจารณ์, คุณทิวา สาระจูฑะ บรรณาธิการนิตยสารสีสัน, รศ.หริรักษ์ สูตะบุตร อดีตรองอธิการบดีฝ่ายบริหารบุคคล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, คุณนิติพงษ์ ห่อนาค ศิลปินและนักแต่งเพลง และ คุณ พ.สิทธิสถิตย์ อดีตบรรณาธิการหนังสือพิมพ์/นิตยสาร

บรรณาธิการโดย คำรณ ปราโมช ณ อยุธยา

💙ตอนที่ 1 : ‘ลุงตู่’ เป็นมากกว่าผู้นำ

💙ตอนที่ 2 : ชีวิตนี้ ขอทำเพื่อชาติและประชาชน

💙 ตอนที่ 3 : ‘ลุงตู่’ ฮีโร่ผู้กอบกู้วิกฤต

💙ตอนที่ 4 : ปณิธานแน่วแน่ “ประเทศไทยต้องดีกว่าเดิม”

💙ตอนที่ 5 : ‘ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี’ พาไทย ‘มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน’

💙ตอนที่ 6 : ‘EEC’ หัวใจสำคัญ ยุคไทยแลนด์ 4.0

💙ตอนที่ 7 : พัฒนา ‘ระบบคมนาคม’ เสริมแกร่งไทยทุกมิติ

💙ตอนที่ 8 : ‘เทคโนโลยี-ดิจิทัล’ กุญแจสำคัญขับเคลื่อน ‘เศรษฐกิจไทย’

💙ตอนที่ 9 : ฟื้นสัมพันธ์ ‘ไทย-ซาอุฯ’ เริ่มทศวรรษแห่งความร่วมมือ

💙ตอนที่ 10 : ผลงานชิ้นโบแดง เจ้าภาพ ‘เอเปก 2022’

 

‘บุญผ่อง สิริเวชชะพันธ์’ วีรบุรุษสงครามโลก | THE STATES TIMES Story EP.143

‘บุญผ่อง สิริเวชชะพันธ์’ ผู้ได้รับการยกย่องจากนานาชาติ ในฐานะ ‘วีรบุรุษ’ ผู้ปิดทองหลังพระและมีมนุษยธรรม จากวีรกรรมที่ได้ช่วยเหลือเชลยศึกที่ถูกเกณฑ์มาสร้างเส้นทางรถไฟสายมรณะ ที่จังหวัดกาญจนบุรี ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 

ทว่าเรื่องราวของ ‘บุญผ่อง สิริเวชชะพันธ์’ กลับไม่ถูกเป็นที่พูดถึงในประเทศไทยอย่างกว้างขวาง วันนี้ THE STATES TIMES Story จึงได้หยิบยกเรื่องราว และความกล้าหาญของวีรบุรุษท่านนี้ มาบอกเล่าให้ทุกท่านได้รับทราบกัน จะเป็นอย่างไร เชิญรับฟัง…

VIDEO

ป้าหมาย ‘ท่องเที่ยวไทยเชิงคุณภาพ’ ผ่านมุมมอง ‘วีระศักดิ์ โควสุรัตน์’ | CONTRIBUTOR EP.30

เมืองไทยมีดี มีจุดขายที่งดงามในภาคการท่องเที่ยว แต่จะพอใจเพียงเท่านี้ พอใจเพียงจำนวนนักท่องเที่ยวและรายได้ลูกเดียว อาจจะไม่ยั่งยืน

มิติใหม่ของการท่องเที่ยวไทย ต้องปรับประยุกต์ เพื่อสร้างการท่องเที่ยวเชิงคุณภาพ
กระตุ้นให้เกิดความหลากหลายในแต่ละเขตแดน เมือง จังหวัด ที่มีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง

แต่สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นได้ ต้องร้อยห่วงโซ่ของ ‘ความยิ้มแย้ม-ความยืดหยุ่น-ไม่หย่อนยาน’ 
รวมถึงปรับแนวทางสู่ความยั่งยืน ด้วยการพัฒนาระบบการท่องเที่ยวใต้วิธีคิดที่ทันโลก

เพราะนี่คือวาระสำคัญของอนาคตการท่องเที่ยวไทยในวันข้างหน้า 
ในวันที่ ‘หินก้อนใหญ่’ ยังกดทับ ‘หญ้าสีเขียว’ ในบางพื้นที่อยู่

ปลดล็อกร่างทอง ‘ท่องเที่ยวไทยเชิงคุณภาพ’ ไปด้วยกันกับ Contributor EP นี้ กับผู้ที่เข้าใจระบบนิเวศการท่องเที่ยวยั่งยืนแบบถ่องแท้ได้จาก... คุณวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ สมาชิกวุฒิสภา รองประธานกรรมาธิการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา

ถึงเวลาสร้าง ‘ไทย’ ให้เติบใหญ่ในยุคดิจิทัล l รศ.ดร.ดนุวัศ สาคริก

ความ ‘เท่า’ ที่ยากจะ ‘เทียม’ หากระบบการศึกษาไทยยังย่ำอยู่กับที่และทิศทางไทยยังคงหลงอยู่กับนโยบาย

ประชานิยมที่คอยกระตุกกระตุ้นเศรษฐกิจได้เพียงแค่ครั้งคราว

กลับกันประเทศไทย ในวันที่เริ่มตั้งตัว ต้องหาทางตั้งทรงแบบยกแผงต้องแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นที่จะผลักดันอนาคตชาติเริ่มตั้งแต่การปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานของประเทศในทุกภาคส่วนระบบการเมือง เศรษฐกิจ การศึกษา และอื่นๆ ให้เกิดรากอันแข็งแกร่ง เพื่อเป็นฐานรองรับให้ ‘คนในชาติ’ กลายเป็นบุคลากรที่มีคุณภาพ

Contributor EP นี้ ขอกระตุกมุมคิดคนไทยให้ร่วมมองความเจริญแห่งอนาคตที่ถูกทิศผ่านมุมคิดของ... 
รศ.ดร.ดนุวัศ สาคริก รองคณบดีฝ่ายวิชาการ คณะรัฐประศาสนศาสตร์ สถาบันบัณฑิต พัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) NIDA ที่ขอเป็นตัวแทนพูดดังๆ ถึงทุกภาคส่วน ว่า…

ถึงเวลาแล้วที่ ‘ประเทศไทย’ ต้องปฏิรูป!!

ผู้พิทักษ์ ‘สันติ’ ราษฎร์ พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ | CONTRIBUTOR EP.28

ค่านิยม ‘ท้าทาย’ กฎหมายของคนในยุคนี้ ยุคที่ใคร ‘แหก’ กฎได้มากเท่าไร ก็จะยิ่งยกย่องกันแบบผิดๆ ว่า 'เจ๋ง' และดูเก่งในสายตากลุ่มก้อนความคิดเดียวกัน ... เริ่มลุกลาม!!

แต่เมื่อ 'กฎหมาย' คือ กฎที่คนส่วนใหญ่ ทำตาม!!

ผู้ใด 'ท้าทาย' ก็ต้องพร้อมรับผิดชอบในทุกการกระทำ

และนี่คือเรื่องราวของอีกหนึ่งผู้บังคับใช้กฎหมาย ที่อยากฝากบอกถึง 'นักแหกกฎ' ให้ปลดความคิดสุดระห่ำออกไปจากระบบคิด และจงเชื่อเถอะว่าชีวิตของพวกคุณจะไม่มีวันถูกหล่อเลี้ยงได้อย่างยั่งยืนผ่านคำยกย่องผิดๆ

พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผู้บัญชาการสำนักงานกฎหมายและคดี 

ผู้พิทักษ์ ‘สันติ’ ราษฎร์

Y WORLD

ซักด่วน !!! ใช้ผ้าขนหนูเกิน 3 วัน เหมือนเช็ดตัวด้วยโถส้วม !!! | Y WORLD EP.75

Y WORLD ตอนนี้ แค่หัวข้อก็อึ้งกันแล้วค่ะ แค่ไม่ได้ซักผ้าขนหนู 3 วัน ก็สกปรกขนาดนี้เลยหรอ ? ส่งผลอย่างไรบ้าง และควรแก้ยังไง คลิปนี้มีคำตอบค่ะ 

‘Roman Charity’ ภาพวาดที่ไม่ได้ลามก แต่คือความกตัญญู | Y WORLD EP.74

Y WORLD ตอนนี้พาคุณไปชมภาพวาดหญิงสาวกำลังป้อน ‘นม’ ของตัวเองให้ชายชรา ที่บอกเลยว่า 'เห็นครั้งแรก ก็คิดดีไม่ได้จริงๆ' แต่แท้จริงแล้ว ภาพนี้ไม่ได้เป็นสื่อลามกอนาจาร แต่คือการแสดงความกตัญญู เรื่องราวจะเป็นอย่างไรนั้น ไปติดตามชมกันได้เลยค่ะ

ปลิดชีพ "ชาย" ขู่ฆ่า "โจ ไบเดน" แม้ไม่มี112 | Y WORLD EP.73

Y WORLD ตอนนี้จะพาคุณไปฟังเรื่องราวการ "ปกป้องผู้นำ" ของตนขั้นสุดแบบสหรัฐอเมริกา ในกรณีที่ FBI ปลิดชีพ 'ชาย’ ขู่ฆ่า 'โจ ไบเดน' แม้สหรัฐอเมริกาจะไม่มีกฎหมายมาตรา 112 แบบประเทศไทย แต่ก็ต้องยอมรับว่า หากใครมาหมิ่นหรือคิดร้ายผู้นำในประเทศของเขา โดนดีทันที เรื่องราวจะเป็นอย่างไร ไปรับชมกันเลย

SPECIAL

ธรรมะประจำวันอาทิตย์ที่ 28 เมษายน 2567

‘พระธรรมโกศาจารย์’ (เงื่อม อินฺทปญฺโญ) หรือที่รู้จักในนามท่านพุทธทาสภิกขุ หรือพระอาจารย์พุทธทาสได้ละสังขาร กลับคืนสู่ธรรมชาติอย่างสงบ ณ สวนโมกขพลารามสิริ จ.สุราษฎร์ธานี รวมอายุ 87 ปี เมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ.2536 

นับจากวันนั้นถึงวันนี้ ผ่านมาแล้วมากว่า 30 ปี แม้ท่านจะละสังขารไปนานแล้ว แต่คำสอนทางธรรมที่ถูกบันทึกไว้มากมาย เช่น คู่มือมนุษย์, แก่นพุทธศาสน์, พระพุทธเจ้าสอนอะไร, อิทัปปัจจยตา ฯลฯ ก็ไม่หายไปไหน ยังมีคนในโลกใบนี้ใช้เป็นแนวทางปฎิบัติเพื่อดำเนินชีวิตให้พ้นทุกข์ หนึ่งในคำสอนของท่านที่น่าประทับใจได้แก่ “การเรียนธรรมะ คือ การเรียนให้รู้ว่า ไม่มี ‘ตัวกู’ มีแต่ธรรมชาติ ธรรมชาตินี้จะไหลเรื่อย เกิดขึ้น-ตั้งอยู่-ดับไป”

นอกจากนี้ในปี 2548 ยูเนสโกได้ประกาศยกย่องให้ ‘ท่านพุทธทาสภิกขุ’ เป็นบุคคลสำคัญของโลกด้วย

ธรรมะประจำวันอาทิตย์ที่ 21 เมษายน 2567

‘ท่านพ่อเฟื่อง โชติโก’ องค์ท่านได้รับการฝึกฝนอบรมภาวนาจากท่านพ่อลี ธัมมธโร จนเกิดเป็นหลักจิตหลักใจ และมั่นใจในคุณของพระพุทธศาสนา ท่านพ่อเฟื่อง และหลวงปู่เจี๊ยะ จุนฺโท จึงได้เดินทางไปฝากตัวเป็นศิษย์ หลวงปู่ใหญ่มั่น ภูริทัตโต ท่านพ่อเฟื่อง ท่านเป็นพระสมถะ มักน้อย สันโดษ ไม่ยึดติดในสมณศักดิ์ และลาภยศ รักการเดินธุดงค์เป็นชีวิตจิตใจ เป็นพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เป็นที่ควรรำลึกน้อมเป็นสังฆานุสสติอย่างยิ่ง

หนึ่งในคำสอนของท่านก็คือ “หูเราก็มี 2 หู ปากก็มีปากเดียว แสดงว่าเราต้องฟังให้มาก ต้องพูดให้น้อย”

ธรรมะประจำวันอาทิตย์ที่ 14 เม.ย. 2567

เมื่อวันที่ 11 เม.ย. 67 เพจเฟซบุ๊ก ‘บุญนิยมทีวี’ ซึ่งเป็นสื่อหลักของ สันติอโศก ได้โพสต์ข้อความระบุว่า “แจ้งข่าว พ่อครูสมณะโพธิรักษ์ มรณภาพ ด้วยโรคชรา เวลา 06.40.10 น. วันพฤหัสบดี 11 เมษายน 2567” สิริอายุ 89 ปี 10 เดือน 6 วัน 

ทั้งนี้ ‘สมณะโพธิรักษ์’ เป็นผู้ก่อตั้งและผู้นำทางจิตวิญญาณแห่งสำนักสันติอโศก เป็นผู้ก่อกำเนิดคณะกลุ่มชาวอโศก ก่อตั้งชุมชนบุญนิยม ‘พุทธสถานสันติอโศก’ ย่านนวมินทร์ ก่อนจะขยายชุมชนบุญนิยม-เครือข่ายพึ่งตนเอง ในอีกหลายจังหวัด รวมทั้งราชธานีอโศก ที่อุบลราชธานี

สมณะโพธิรักษ์เข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี ด้วยอาการปอดอักเสบ กระทั่งออกจากโรงพยาบาล กลับราชธานีอโศก จ.อุบลราชธานี เมื่อต้นเดือน ก.พ. 2567 ที่ผ่านมา ก่อนจะมีอาการทรุดลงและต้องกลับเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลอีกครั้ง กระทั่งมรณภาพอย่างสงบ

สำหรับประวัติสมณะโพธิรักษ์ มีชื่อเดิมว่า มงคล รักพงษ์ เกิดวันที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2477 ที่จังหวัดศรีสะเกษ

ในวัยเด็กอาศัยอยู่กับมารดาที่จังหวัดอุบลราชธานี ภายหลังได้เข้ามาศึกษาชั้นมัธยมที่กรุงเทพฯ เมื่อเรียนจบมัธยมปลายก็ได้เข้าศึกษาต่อ ที่โรงเรียนเพาะช่าง แผนกวิจิตรศิลป์ และได้เปลี่ยนชื่อเป็น ‘รัก รักพงษ์’

ขณะที่กำลังเรียนอยู่ได้เข้าทำงานที่ บริษัท ไทยโทรทัศน์ จำกัด เป็นผู้จัดรายการ เป็นรายการเกี่ยวกับเด็ก, การศึกษา และวิชาการ นอกจากงานทางสถานีโทรทัศน์แล้ว ก็ยังทำงานเป็น ครูพิเศษ สอนศิลปะตามโรงเรียน นักแต่งเพลง และทำงานเป็นเด็กส่งหนังสือพิมพ์ไปด้วย

สมัยยังทำงานในวงการบันเทิง ท่านมีผลงานเพลงที่แต่งในนาม ‘รัก รักพงษ์’ ออกมาประสบความสำเร็จ เป็นเพลงยอดนิยมจำนวนมาก รวมทั้งเพลง ‘ผู้แพ้’ ‘กระต่ายเพ้อ’ และเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่อง ‘โทน’ ซึ่งเป็นภาพยนตร์ทำเงิน ออกฉายในปี พ.ศ. 2513 เพลงฮิตจากภาพยนตร์เรื่องนี้ที่ประพันธ์โดย ‘รัก รักพงษ์’ ได้แก่ ‘ฟ้าต่ำแผ่นดินสูง’ และ ‘ชื่นรัก’ เป็นต้น

ต่อมา ท่านได้หันมาศึกษา พุทธศาสนาและได้อุปสมบทในคณะธรรมยุติกนิกาย ณ วัดอโศการาม เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2513 ได้รับฉายาว่า ‘โพธิรกฺขิโต’ มีพระราชวรคุณ (สำรอง คุณวุฑฺโฒ) เป็นพระอุปัชฌาย์

พระโพธิรักษ์เป็นผู้ปฏิบัติเคร่งครัด สงบสำรวม เป็นที่ศรัทธาเลื่อมใส มีผู้มาขอศึกษาปฏิบัติตามทั้งฆราวาสและนักบวช จากคณะธรรมยุต และมหานิกาย ต่อมาพระราชวรคุณ ไม่ต้องการให้พระฝ่ายมหานิกายมาศึกษาอยู่ร่วมด้วย พระโพธิรักษ์ จึงเข้ารับการสวดญัตติฯ เป็นพระของคณะมหานิกายอีกคณะหนึ่ง โดยมิได้สึกจากคณะธรรมยุต ที่วัดหนองกระทุ่ม อ.กำแพงแสน จ.นครปฐม โดยมีพระครูสถิตวุฒิคุณ เป็นอุปัชฌาย์ เมื่อวันที่ 2 เม.ย. 2516

ตัวท่านเองมุ่งสารธรรมเป็นใหญ่ ไม่ติดใจเรื่องนิกาย จึงมีพระทั้งมหานิกายและพระธรรมยุต ที่มีปฏิปทาเป็น ‘สมานสังวาส’ กัน มาร่วมศึกษาปฏิบัติอยู่ด้วย โดยยึดถือธรรมวินัยเป็นใหญ่ ซึ่งทำให้พระอุปัชฌาย์ทางฝ่ายธรรมยุตไม่พอใจ พระโพธิรักษ์จึงคืนใบสุทธิให้ฝ่ายธรรมยุตไป เมื่อวันที่ 25 เม.ย. 2516 ถือแต่ใบสุทธิฝ่ายมหานิกายเพียงอย่างเดียว แต่ก็มีพระจากทั้งสองนิกาย อยู่ร่วมศึกษาปฏิบัติด้วย เพราะพระโพธิรักษ์ไม่รังเกียจนิกายใด ๆ มุ่งหมายทำงานเพื่อพระศาสนา เพื่อประโยชน์ส่วนรวม โดยไม่ให้ผิดพระวินัยเป็นสำคัญ

วัตรปฏิบัติที่เป็นเอกลักษณ์สำคัญของพระโพธิรักษ์ คือ การฉันอาหารมังสวิรัติ วันละ 1 มื้อ ไม่ใช้เงินทอง นุ่งห่มผ้าย้อมสีกรัก มีชีวิตอย่างเรียบง่าย ไม่มีการเรี่ยไร ไม่รดน้ำมนต์-พรมน้ำมนต์ ไม่ใช้การบูชาด้วยธูปเทียน และไม่มีไสยศาสตร์ ซึ่งแตกต่างจากพระสงฆ์ในมหาเถรสมาคม ทีมีความเป็นอยู่อย่างสุขสบาย ทำให้บางครั้งถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นพระนอกรีต การทำงานด้านศาสนาได้รับอุปสรรคตลอดมา พระโพธิรักษ์และคณะจึงประกาศลาออกจากมหาเถรสมาคม เมื่อวันที่ 6 ส.ค. พ.ศ. 2518 แต่เมื่อถูกพิพากษาว่าไม่สามารถเรียกขานตนเองว่าเป็นพระได้ จึงเรียกตนเองว่า ‘สมณะ’ แทน แต่ยังคงปฏิบัติเคร่งครัดเหมือนเดิม

‘สมณะโพธิรักษ์’ ได้นำ ‘กลุ่มชาวอโศก’ สร้างชุมชนบุญนิยมขึ้น และก่อตั้งพุทธสถานสันติอโศกขึ้นที่ ถ.นวมินทร์ แขวงคลองกุ่ม เขตบึงกุ่ม กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 7 ส.ค. พ.ศ. 2519 หลังจากนั้น ยังเกิดชุมชนเครือข่ายเป็นชุมชนพึ่งตนเองแบบครบวงจร รวมทั้งเกิดพุทธสถานและชุมชนบุญนิยม 9 แห่ง ได้แก่

-พุทธสถานสันติอโศก เขตบึงกุ่ม กรุงเทพฯ
-พุทธสถานปฐมอโศก อ.เมือง จ.นครปฐม
-พุทธสถานศีรษะอโศก อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ
-พุทธสถานศาลีอโศก อ.ไพศาลี จ.นครสวรรค์
-พุทธสถานสีมาอโศก อ.เมือง จ.นครราชสีมา
-พุทธสถานราชธานีอโศก อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี
-พุทธสถานลานนาอโศก อ.สันทราย จ.เชียงใหม่
-สังฆสถานทะเลธรรม อ.เมือง จ.ตรัง
-สังฆสถานหินผาฟ้าน้ำ อ.แก้งคร้อ จ.ชัยภูมิ

นอกจากนี้ ยังมีการก่อตั้งองค์กรในชุมชนบุญนิยมสันติอโศก รวม 8 องค์กร ได้แก่ มูลนิธิธรรมสันติ กองทัพธรรมมูลนิธิ สมาคมผู้ปฏิบัติธรรม ธรรมทัศน์สมาคม มูลนิธิเพื่อนช่วยเพื่อน สมาคมศิษญ์เก่าสัมมาสิกขา สมาคมนักศึกษาผู้ปฏิบัติธรรม และมูลนิธิบุญนิยม

INFO & TOON

10 อันดับเมืองที่ดีที่สุดในเอเชีย (2024)

10 อันดับเมืองที่ดีที่สุดในเอเชีย (2024)

เรียนสาขาไหนดี? จบมา มีงานทำ แถม ‘รายได้สูง’

(26 เม.ย. 67) ผู้ใช้งานเฟซบุ๊ก ‘Sompob Pordi’ โพสต์ข้อความแสดงความคิดเห็นในหัวข้อ ‘เรียนอะไรได้ตังค์เยอะสุด?’ โดยระบุว่า…

โพสต์ที่แชร์มาเป็นของฝรั่ง ในบ้านเขา ปริญญาตรีที่ทำงานได้เงินมากที่สุด 3 สาขา คือ วิศวะคอมพิวเตอร์ ($80,000/ปี) วิศวะเคมี และคอมพิวเตอร์ซายเอนซ์ ($75,000 /ปี) โดยผู้ที่เรียนจบสามสาขานี้จะมีรายได้สูงกว่าผู้ที่เรียนจบสาขาสังคมสองเท่า

ใน 16 สาขาที่ทำเงินสูงสุด เกือบทั้งหมดเป็นวิศวกรรมศาสตร์ แทรกด้วย คณิตศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ เภสัชศาสตร์ การเงิน วิเคราะห์ธุรกิจ

ส่วนสาขาวิชาที่รายได้ต่ำสุดก็ยังเป็นพวก liberal art หรือสายสังคม ประเภท มนุษยศาสตร์ ศิลปศาสตร์ สังคมศาสตร์, เทววิทยา และ สาขาที่เกี่ยวกับการแสดง

ทั้งหมดนี้เป็นของฝรั่ง แต่ในความเป็นจริง ไม่ว่าจะฝรั่ง จีน แขก ไทย ก็ไม่ต่างกันแต่อย่างใด

เพราะเหตุนี้ หากประเทศเล็ก ๆ จน ๆ อย่างเราไม่ต้องการเป็นประเทศเล็ก ๆ จน ๆ ตลอดไป ก็ควรรีบปิดคณะ/มหาวิทยาลัยสายสังคมทิ้งซัก 90% ของปัจจุบัน แล้วเอางบประมาณ ทรัพยากร มาทุ่มให้กับสายอื่นที่มีประโยชน์ ที่คุณค่าทางเศรษฐกิจมากกว่า รวมทั้งสายอาชีวะด้วย

ถ้าทำตามนี้ นอกจากประเทศจะมีความสามารถ มีศักยภาพในการแข่งขันทางเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น ประชากรที่ฉลาดเท่ากับควาย ที่มีค่าแรงขั้นต่ำเป็นเป้าหมายในชีวิต ที่มีความฝันจะเป็นกาฝากสังคม เกาะกินสวัสดิการ จะลดลงด้วย

เปิดผลการจัดอันดับ ’20 โรงพยาบาล‘ ที่ดีที่สุดในไทย!! ปี 2024 ✨👏🏻

ทั้งนี้ ‘บำรุงราษฎร์’ ครองอันดับ 1 ของไทย อีกทั้งยังเป็นโรงพยาบาลไทยเพียงแห่งเดียวที่ติด 130 อันดับแรก โรงพยาบาลที่ดีที่สุดในโลก อย่างต่อเนื่อง 4 ปีซ้อน โดยนิตยสาร Newsweek ร่วมกับ Statista

สำหรับการให้คะแนนโรงพยาบาลแต่ละแห่งนั้น พิจารณาจาก 4 แหล่ง ได้แก่ 1.การสำรวจออนไลน์จากแพทย์ ผู้บริหารโรงพยาบาล บุคลากรทางการแพทย์มากกว่า 85,000 ราย 2.ข้อมูลจากการสำรวจความพึงพอใจโดยทั่วไปของผู้ป่วยหลังเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล 3.ดัชนีตัวชี้วัดคุณภาพของโรงพยาบาล เช่น มาตรการด้านสุขอนามัย ความปลอดภัยของผู้ป่วย และอัตราส่วนผู้ป่วย/แพทย์ หรือพยาบาลต่อผู้ป่วย และ 4.การสำรวจของ Statista ที่ใช้แบบประเมินผลลัพธ์ด้านการรักษาพยาบาลของผู้ป่วย คือ Patient Reported Outcome Measures (PROMs) โดยมีการสำรวจข้อมูลระหว่างวันที่ 1 มกราคม - 31 ธันวาคม 2566

COLUMNIST

‘Operation Alpha’ ปฏิบัติการลับที่ดำเนินการโดย ‘อินโดนีเซีย’ เพียงหวังซื้อเครื่องบินรบ A-4 Skyhawk ของอิสราเอล


ย้อนกลับไปในทศวรรษ 1980 ช่วงยุคสงครามเย็นที่มีความขัดแย้งระหว่างสองค่ายขั้ว นั่นก็คือ ค่ายประชาธิปไตย+เผด็จการ ซึ่งนำโดยสหรัฐอเมริกาและสหภาพโซเวียต ผู้นำค่ายสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ อินโดนีเซียแม้จะเป็นประเทศหมู่เกาะในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่ในขณะนั้นต้องเผชิญภัยคุกคามทั้งภายในโดยเฉพาะอย่างยิ่งสถานการณ์ในติมอร์ตะวันออกและภายนอกประเทศที่มีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยความขาดแคลนเครื่องบินรบสมัยใหม่ตอนนั้นกองทัพอากาศอินโดนีเซียมีเพียงแต่เครื่องบินรบที่ล้าสมัยของสหรัฐฯ เช่น F-86 Saber และ T-33 T-Bird ที่เก่ามากแล้วและมีค่าใช้จ่ายมหาศาลในการปรนนิบัติบำรุงอันเนื่องจากอายุใช้งานที่ยาวนานและอะไหล่ซึ่งขาดแคลนเพราะสหรัฐฯ เลิกผลิตแล้ว รวมทั้งเครื่องบินรบไอพ่นที่จัดหามาจากสหภาพโซเวียตในช่วงทศวรรษ 1960 เช่น เครื่องบินรบแบบ MiG, Il-28 และ Tu-16 ซึ่งต้องจอดอยู่กับพื้นเนื่องจากขาดการสนับสนุนด้านเทคนิคหลังจากประสบปัญหาความสัมพันธ์กับสหภาพโซเวียตอันเนื่องมาจากเหตุการณ์ G30S* ตอนนั้นเองสหรัฐฯ ยินดีที่จะขายเครื่องบินไอพ่น F-5 E/F Tiger2 จำนวน 16 ลำให้กับกองทัพอากาศอินโดนีเซีย แต่เครื่องบินจำนวนนี้อินโดนีเซียเห็นว่ายังคงมีจำนวนไม่เพียงพอต่อการรับมือกับภัยคุกคามของประเทศได้

*G30S : เหตุการณ์ความพยายามในการทำรัฐประหารโดยสมาชิกของกองทัพอินโดนีเซียและพรรคคอมมิวนิสต์อินโดนีเซีย และมีการสังหารหมู่เกิดขึ้นในเวลาต่อมา


(เครื่องบินโจมตีแบบ A-4 Skyhawk ของอิสราเอล)

หน่วยข่าวกรองของอินโดนีเซียได้รับข้อมูลว่า อิสราเอลยินดีที่จะขายเครื่องบินโจมตีแบบ A-4 Skyhawk ที่ผ่านการใช้งานแล้วจำนวน 32 ลำให้กับอินโดนีเซีย แต่ข้อตกลงนี้มีปัญหาหลายประการ เริ่มตั้งแต่อินโดนีเซียและอิสราเอลไม่มีความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกัน การซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ทางทหารจากอิสราเอลยังเสี่ยงต่อการถูกประท้วงอย่างรุนแรงจากประชาชนชาวอินโดนีเซียซึ่งส่วนใหญ่แล้วเป็นมุสลิม อย่างไรก็ตามกองทัพแห่งสาธารณรัฐอินโดนีเซีย (ABRI) ได้ตัดสินใจที่จะดำเนินการต่อไปด้วยแผนการ ‘Operation Alpha’ โดยมี 2 ระยะคือ Operation Alpha I ในปี 1980 และ Operation Alpha II ในปี 1982 ทำให้อินโดนีเซียได้รับเครื่องบินโจมตี Douglas A-4 Skyhawk จำนวน 30 ลำ (14 ลำจากปฏิบัติการ Alpha I และ 16 ลำระหว่างปฏิบัติการ Alpha II) จากกองทัพอากาศอิสราเอล

(พล.อ.อ. Djoko Poerwoko หนึ่งนักบิน A-4 ที่ได้รับการฝึกจากอิสราเอล)

สำหรับปฏิบัติการ Alpha ดังกล่าวนอกจากเครื่องบิน 30 ลำแล้ว ยังรวมไปถึงการฝึกนักบินชาวอินโดนีเซีย โดยครูการบินชาวอิสราเอล และมีการแปลงโฉมเครื่องบินระหว่างการขนส่งจากอิสราเอลไปยังอินโดนีเซีย โดย พล.อ.อ. Djoko Poerwoko อดีตผู้บัญชาการกองทัพอากาศอินโดนีเซียหนึ่งในนักบิน A-4 ที่ได้รับการฝึกจากอิสราเอลเล่าว่า ปฏิบัติการ Alpha เป็นปฏิบัติการลับที่ใหญ่ที่สุดที่ดำเนินการโดยกองทัพแห่งชาติอินโดนีเซีย (Angkatan Bersenjata Republik Indonesia : ABRI) ก่อนที่จะส่งนักบินไปฝึกที่อิสราเอล รัฐบาลอินโดนีเซียได้ส่งช่างเทคนิคของกองทัพอากาศจำนวนหนึ่งซึ่งแบ่งออกเป็น 7 กลุ่มไปฝึกในอิสราเอลเป็นเวลา 20 เดือน ในปี 1979 หลังจากช่างเทคนิคกลุ่มสุดท้ายเสร็จสิ้นภารกิจในการฝึกอบรมแล้ว นักบินอินโดนีเซีย 10 นายได้รับแจ้งว่าจะถูกส่งไปฝึกอบรมที่สหรัฐอเมริกา แต่กลับถูกส่งให้เดินทางไปยังอิสราเอลในเดือนกันยายน 1980 โดยพวกเขาออกเดินทางด้วยเที่ยวบิน Garuda ไปยังสิงคโปร์ หลังจากเครื่องลงจอดในสิงคโปร์ เจ้าหน้าที่ข่าวกรองของ ABRI หลายนายก็ได้มาพบกับพวกเขาระหว่างรับประทานอาหารเย็น เจ้าหน้าที่ได้ขอเก็บหนังสือเดินทางและแทนที่ด้วยหนังสือเดินทางพิเศษ ‘Travel Document in Lieu of a Passport (SPLP)’


(พลตรี Leonardus Benyamin Moerdani) 

ตอนนั้นเองพลตรี Leonardus Benyamin Moerdani ผู้บัญชาการหน่วยข่าวกรองของ ABRI (ต่อมาเป็นผู้บัญชาการกองทัพอินโดนีเซียและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของอินโดนีเซีย) ก็มาพบนักบินทั้งสิบและได้บรรยายสรุปว่า “ภารกิจนี้เป็นภารกิจลับ หากพวกคุณรู้สึกไม่มั่นใจก็อนุญาตให้ถอนตัวกลับบ้านไปได้ เพราะหากภารกิจนี้ล้มเหลว ประเทศจะไม่ยอมรับว่าพวกคุณเป็นพลเมืองอินโดนีเซีย อย่างไรก็ตาม เราจะพยายามดำเนินการในทุกวิถีทางเพื่อนำพวกคุณกลับบ้าน ภารกิจนี้จะถือว่าสำเร็จหาก A-4 Skyhawk (ชื่อรหัส 'Merpati') ไปถึงอินโดนีเซียแล้ว” ซึ่งนักบินทั้ง 10 นายจึงทราบว่า ภารกิจของพวกเขาจะเกิดขึ้นในอิสราเอล ซึ่งเกี่ยวข้องกับการซื้อเครื่องบินรบจากอิสราเอล และในคืนเดียวกันนั้นนักบินทั้ง 10 คนได้ใช้ตัวตนใหม่ โดยไม่ได้ระบุว่าเป็นพลเมืองของอินโดนีเซีย จากนั้นพวกเขาก็บินไปที่แฟรงก์เฟิร์ต และเดินทางต่อไปสนามบินเบนกูเรียนในกรุงเทลอาวีฟ อิสราเอล และเมื่อมาถึงอิสราเอล พวกเขาถูกเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยประจำสนามบินพาตัวออกไปที่ชั้นใต้ดินอย่างรวดเร็ว ซึ่งพวกเขาได้รับการต้อนรับจากเจ้าหน้าที่ข่าวกรองของ ABRI


(นักบินอินโดนีเซียทั้งสิบนาย)

ทั้งนี้ นักบินทั้ง 10 ได้รับการบรรยายสรุปสั้น ๆ เกี่ยวกับเรื่องทั่วไปที่ต้องพิจารณาขณะอยู่ในอิสราเอล พวกเขาได้รับการสอนให้จำประโยคภาษาฮีบรูที่จำเป็นสองสามประโยค หลังจากการบรรยายสรุปพวกเขาก็เดินทางต่อทางบกไปทางใต้เลียบทะเลเดดซีไปยังฐานทัพอากาศ Etzion ซึ่งพวกเขาเรียกว่า ‘Arizona’ เนื่องจากการฝึกอย่างเป็นทางการนั้นนักบินเหล่านี้จะต้องถูกส่งไปฝึกในมลรัฐ Arizona ณ ฐานทัพอากาศ Etzion พวกเขาได้ฝึกบินกับเครื่องบิน A-4 Skyhawks ด้วยเทคนิคและยุทธวิธีมากมาย หรือแม้แต่การฝึกบินเจาะทะลุผ่านชายแดนซีเรีย ซึ่งการฝึกบินสิ้นสุดลงในเวลาประมาณ 4 เดือน ในวันที่ 20 พฤษภาคม 1980 นักบินทั้ง 10 คนสำเร็จการศึกษาและได้รับประกาศนียบัตรนักบินรบ A-4 ของอิสราเอล อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรองของ ABRI ที่ตามมาด้วยได้รวบรวมและเผาทำลายประกาศนียบัตรเหล่านั้นต่อหน้านักบิน เพื่อให้ไม่มีหลักฐานของความร่วมมือทางทหารระหว่างอินโดนีเซียและอิสราเอลปรากฎ


(ฐานบินนาวิกโยธินยูมาในมลรัฐแอริโซนา)

เพื่อให้เรื่องราวบังหน้าครบถ้วนอย่างสมบูรณ์ นักบินทั้ง 10 นายจึงถูกพาตัวไปยังสหรัฐอเมริกาเพื่อสร้างหลักฐาน เช่น รูปถ่าย ฯลฯ พวกเขามาถึงนิวยอร์กและเยี่ยมชมสถานที่สำคัญต่าง ๆ เช่น น้ำตกไนแอการา พวกเขาได้รับคำสั่งให้ถ่ายรูปหน้าสถานที่สำคัญของสหรัฐฯ ให้มากที่สุด จากนิวยอร์กพวกเขาถูกนำตัวไปที่ฐานบินนาวิกโยธิน Yuma ในมลรัฐแอริโซนา พวกเขาใช้เวลา 3 วันในฐานบินนาวิกโยธิน Yuma และได้รับการศึกษาเรียนรู้เกี่ยวกับเครื่องบินโจมตีแบบ A-4 ของหน่วยบัญชการนาวิกโยธินสหรัฐฯ (USMC) และถ่ายรูปเพิ่มเติม นอกจากนี้พวกเขายังได้รับประกาศนียบัตรนักบินรบ A-4 ของ USMC และได้ถ่ายภาพการรับประกาศนียบัตรอีกด้วย ผู้บัญชาการหน่วยข่าวกรองของ ABRI ได้ย้ำเตือนนักบินว่า แท้จริงแล้วพวกเขาได้รับการฝึกฝนในสหรัฐอเมริกา ไม่ใช่อิสราเอล หลังจากนั้นพวกเขาก็บินไปสิงคโปร์แล้วกลับอินโดนีเซีย


(A-4 Skyhawk ถูกห่อด้วยพลาสติกและติดป้ายกำกับว่า 'F-5')

ต่อมาวันที่ 3 พฤษภาคม 1980 เครื่องบินลำเลียงแบบ C-5 Galaxy ของกองทัพอากาศสหรัฐฯ ลงจอดในฐานทัพอากาศ Iswahjudi พร้อมด้วยเครื่องบินขับไล่แบบ F-5E/F Tiger II และในวันรุ่งขึ้น A-4 Skyhawks ชุดแรกของอิสราเอล ซึ่งประกอบด้วยเครื่องบินที่นั่งเดี่ยว 2 ลำ (หมายเลข TT-0401 และ TT-0414) และเครื่องบิน 2 ที่นั่ง 2 ลำ (หมายเลข TL-0415 และ TL-0416) ก็เดินทางมาถึงท่าเรือ Tanjung Priok ซึ่งเครื่องบินไอพ่นดังกล่าวถูกห่อหุ้มที่ฐานทัพอากาศ Etzion และขนส่งทางเรือโดยตรงจากอิสราเอล A-4 ถูกห่อด้วยพลาสติกและติดป้ายกำกับว่า 'F-5' เพื่อให้ดูเหมือนเป็นการจัดส่งจากสหรัฐฯ อีกรายการหนึ่ง หลังจากแกะออกจากห่อแล้วเครื่องบินทั้งหมดก็ได้รับการตรวจสอบและประกอบด้วยความช่วยเหลือจากช่างเทคนิคชาวอิสราเอล จากนั้นจึงบินไปยังฐานทัพอากาศฮาซานุดดินในมากัสซาร์ เพื่อเข้าประจำการในฝูงบินที่ 11 


(A-4 Skyhawk ฝูงบินที่ 11 ฐานทัพอากาศฮาซานุดดิน)

อย่างไรก็ตาม A-4 Skyhawks ยังคงมาถึงอินโดนีเซียเป็นระยะ ๆ โดยรวมแล้ว อินโดนีเซียได้รับเครื่องบิน A-4 Skyhawks 14 ลำ (+1 ลำเพื่อทดแทนที่ตก) จากอิสราเอลในปี 1980 และ A-4 จำนวน 16 ลำในปี 1982 รวมทั้งหมด 30 ลำ โดยส่วนใหญ่เป็นแบบ A-4E และส่วนที่เหลือเป็นรุ่นฝึก TA-4H และ TA-4J ซึ่งในปี 1997-1998 อินโดนีเซียได้ซื้อ TA-4J (2 ที่นั่ง) 2 เครื่องจากสหรัฐอเมริกา และได้รับการปรับปรุงในนิวซีแลนด์ ในปี 1981 อิสราเอลได้ส่ง A-4E 2 ลำ (ลำหนึ่งคือ TT-0417) เพื่อทดแทน A-4 ที่ตกในระหว่างการรับประกัน เครื่องบินโจมตีแบบ A-4 Skyhawks ของอินโดนีเซียได้ร่วมปฏิบัติการทางทหารหลายครั้งได้แก่ ปฏิบัติการโลตัส (1980-1999) ในติมอร์ตะวันออก ปฏิบัติการออสการ์ (1991-1992) ในสุลาเวสี และปฏิบัติการเรนคอง เตร์บัง (1991-1995) ในอาเจะห์ เครื่องบินโจมตีแบบ A-4 Skyhawks ของกองทัพอากาศอินโดนีเซียทั้งหมดถูกปลดระวางในปี 2005 และถูกนำไปตั้งแสดงอยู่ในฐานทัพอากาศและสถานที่ต่าง ๆ ทั่วอินโดนีเซีย

คดีอุกอาจ!! ใช้ 'อาคม' ลอบปลงพระชนม์เชื้อพระวงศ์ แต่มนตราสาปแช่ง มิเป็นผล จึงได้บทลงโทษแค่หลาบจำ

ความเชื่อเรื่องผี สาง เครื่องรางของขลัง โชคชะตา โดยเฉพาะ 'คาถาอาคม' เป็นของคู่บ้านเมืองเรามาอย่างช้านานแล้ว 

อย่างเวทมนตร์คาถาที่ถูกนำมาใช้ในด้านดี เช่น การใช้ในการป้องกันตัว การใช้คาถาอาคมประกอบการปรุงยารักษาโรค การใช้อาคมประกอบการไล่ภูตผีปีศาจโดยใช้หวายเสก (อันนี้มีบันทึกไว้ในจดหมายเหตุลาลูแบร์ในสมัยอยุธยาด้วย) การอาราธนาสิ่งศักดิสิทธิ์เพื่อปลุกขวัญกำลังใจอย่างการตัดไม้ข่มนามก่อนออกรบซึ่งปรากฏในการณ์ต่าง ๆ 

นอกจากนี้ ก็ยังมีสำหรับใช้เพื่อปากท้องของประชาชนทางด้านการเกษตร อย่างการขอฝน โดยตามบันทึกคำให้การของชาวกรุงเก่าที่ระบุว่า เกิดขึ้นในสมัยสมเด็จพระมหาธรรมราชาคือ ในช่วงนั้นเกิดภาวะฝนแล้ง ชาวบ้านทำนาไม่ได้ผล เชื่อกันว่าเทวดาเบื้องบนเป็นเหตุให้เกิดฝนแล้ง พระองค์จึงรับสั่งให้พระเถระชั้นผู้ใหญ่ 2 รูป เป็นผู้ประกอบพิธีกรรมเพื่อแก้ไข ซึ่งในบันทึกก็ระบุว่ามีฝนตกลงมาจริง 

เมื่อมีด้านดี ก็ต้องมีด้านไม่ดี อย่างที่เราเรียกกันว่า 'มนต์ดำ' ซึ่งนำมาใช้ในด้านร้ายเช่น การสาปแช่ง การฝังรูปฝังรอย การทำเสน่ห์ยาแฝด การใช้ยาสั่งเพื่อให้เกิดผลตามต้องการไม่ว่าทางใดก็ทางหนึ่ง หรือหนักที่สุดก็คือการใช้ยาสั่งเพื่อ 'ฆ่า' 

ด้วยเหตุนี้ประเทศของเราถึงมี 'กรมแพทยา' ซึ่งมี 'ผู้เชี่ยวชาญทางวิทยาคม' เพื่อรักษาโรคที่เกิดจากอาคมหรือมนต์ดำ ทั้งยังเป็นตุลาการสำหรับไต่สวนคดีที่เกี่ยวข้องกับคุณไสยต่าง ๆ โดย 'ศาลหรือตุลาการกรมแพทยา' ซึ่งมีการอ้างกันว่ามีกรมนี้มาตั้งแต่สมัยพระเจ้าทรงธรรม แต่จะมีมาตั้งแต่สมัยนั้นหรือไม่ แต่จากข้อมูลในพระธรรมนูญที่รวบรวมการประทับฟ้องต่าง ๆ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกฎหมายตราสามดวง ที่ตราขึ้นในรัชสมัยของพระเอกาทศรถเมื่อ พ.ศ.2165 มีการระบุถึงการฟ้องร้องกันด้วยเรื่องไสยศาสตร์โดยมีกฎหมายสำหรับรองรับเมื่อมีกรณีดังกล่าวเกิดขึ้นด้วย

'กรมแพทยา' นี้ถูกลดบทบาทและอำนาจลงตั้งแต่ในรัชสมัยรัชกาลที่ 3 มาจนถึงในรัชสมัยรัชกาลที่ 5 เกิดการปฏิรูปหลายอย่างในแผ่นดิน ซึ่งกรมแพทยาก็ถูกยุบลงเพราะถูกมองว่าล้าหลัง ไม่ทันสมัย 

แต่ในช่วงก่อนการปฏิรูปก็มีคดีที่น่าสนใจในเรื่องการใช้ 'มนต์ดำ' ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ใหญ่โตระดับการลอบปลงพระชนม์พระราชวงศ์ชั้นสูงเลยทีเดียว แต่สุดท้ายคดีนี้ก็กลายเป็นคดีด้านคาถาอาคมที่ไม่เกิดผลและน่าจะเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ 'กรมแพทยา' ถูกยุบไปในที่สุด

เรื่องของเรื่องเป็นแบบนี้ครับ ในปี พ.ศ. 2419 มีคนคิดจะใช้อาคมทำร้าย 'สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ามหามาลา กรมพระยาบำราบปรปักษ์' ผู้สำเร็จราชการในพระราชสำนัก โดยเจ้าอาคมมีชื่อว่า 'เกษ'

ส่วนนาย 'เกษ' จะก่อเหตุด้วยการขุ่นเคืองใดไม่มีปรากฏในบันทึก เพราะเป็นเพียงขั้นพยายามแต่ยังไม่ถึงขั้นลงมือก็โดนจับไปขังคุกเสียก่อน แต่ทว่าแม้อยู่ในคุกเขาก็ไม่ได้มีความสำนึกยังคงเดินหน้าปั้นหุ่นรูปสมเด็จฯ เสกเป่า สาปแช่ง ด้วยมนต์ดำทั้งหลายเพื่อหวังจะฆ่าพระองค์ให้ได้ด้วยอาคมร้าย ทั้งยังได้รับเสียงเชียร์จากคนโทษร่วมคุกอื่น ๆ อีกด้วย 

ซึ่งคดีนี้ถูกนำความขึ้นกราบบังคมทูลในหลวงรัชกาลที่ 5 ซึ่งพระองค์ทรงวิตกห่วงใยในความปลอดภัยของสมเด็จฯ กรมพระยาบำราบปรปักษ์ จึงทรงมีพระราชหัตถเลขาถึง 'พระยามหามนตรี' (อ่ำ อมรานนท์) ความว่า...

"ถึง พระยามหามนตรี ด้วยอ้ายเกษที่ไปจำไว้ ณ คุกนั้น กลับทำเล่ห์กลเวทมนตร์ปั้นรูปสมเด็จฯ เสกเป่าต่างๆ นั้น ได้สั่งให้พระพิเรนทร์ให้ไปชำระเอาความได้ในเวลาพรุ่งนี้ แต่อ้ายคนนี้เห็นจะต้องตายเสียหรืออย่างไรให้สูญเสียทีเดียว ถ้ายังอยู่ก็จะเป็นข้อพยาบาทสมเด็จฯ ต่อไปไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร แต่บัดนี้ความวิตกนัก ด้วยเกิดความขึ้นดังนี้ ไม่รู้ว่าพ่อแม่พวกพ้องมันจะคิดร้ายอย่างไรกับสมเด็จฯ ถ้ามีเหตุการณ์สมเด็จฯ เป็นอย่างไรลงแลข้าก็เหมือนแขนขาดตาบอดเป็นสิ้นตัว..... 

"ให้พระยามหามนตรี คิดอ่านรักษาสมเด็จฯ ในเวลานี้อย่าให้มีอันตรายได้ แล้วให้ไปพร้อมด้วยพระพิเรนทรเทพชำระเอาต้นเหตุุความคิดให้สิ้นเชิง ให้ได้เร็วในพรุ่งนี้มะรืนนี้จะได้ให้พระยามหามนตรีมาเฝ้าท่าน วางการไว้ในเวลาค่ำวันนี้ให้เรียบร้อย ถ้ามีเหตุภายนอก พระยามหามนตรีจะต้องเป็นโทษ"....

นอกจากนี้พระพุทธเจ้าหลวงยังทรงมีพระราชหัตถเลขาไปถึง สมเด็จฯ กรมพระยาบำราบปรปักษ์ ความว่า...

"ทูลฯ ท่านให้ทราบ ด้วยอ้ายคนนี้มันยังคิดการทำร้ายอยู่เสมอเห็นจะเอาไว้ไม่ได้ต้องตายเสีย ได้สั่งให้พระยามหามนตรีกับพระพิเรนทร์ไปชำระความเอาความจริงให้ได้ในพรุ่งนี้ แต่หม่อมฉันมีความวิตกที่พระองค์ท่านมากนัก ด้วยมันคิดร้ายด้วยเวทมนต์ไม่สำเร็จจะเล่นตรง ๆ ได้สั่งพระยามหามนตรีให้มาคิดระแวดระวัง แต่การภายในสำคัญมากนักขอให้ท่านรักษาพระองค์ให้จงมาก..."

ในเหตุการณ์นี้ แม้ว่าทั้งล้นเกล้ารัชกาลที่ 5 และสมเด็จฯ กรมพระยาบำราบปรปักษ์ จะทรงมีพระราชอำนาจประหารชีวิตคนได้และทรงเห็นว่านาย 'เกษ' สมควรตาย แต่ในที่สุดก็ทรงวินิจฉัยคดีนี้ว่า...

"ซึ่งอ้ายเกษคบคิดกับอ้ายขุนคนโทษด้วยกัน ปั้นรูปสมเด็จฯ กระหม่อมฉัน ให้อ้ายทรัพย์ อ้ายขำ เอาไปฝังป่าช้าทำเวทมนตร์ต่าง ๆ ดังนี้ อ้ายเกษ อ้ายขุน อ้ายทรัพย์ อ้ายขำ ทาสผู้รู้เห็นมีความผิดให้เฆี่ยนอ้ายเกษ อ้ายขุนคนละ 60 ที แล้วจำคุกให้หมั้น อย่าให้เที่ยวไปมาได้ แลให้เฆี่ยนอ้ายทรัพย์ อ้ายขำ คนละ 30 ที เอาตัวจำคุกไว้ปีหนึ่งจึงพ้นโทษ"

โดยรวมก็ถือว่าเป็นโทษที่ไม่หนักทั้ง ๆ ที่เป็นการอาฆาตมาดร้ายเชื้อพระวงศ์ชั้นสูง แต่สุดท้ายจอมขมังเวทย์และทีมงานก็รอด อาจเพราะทำมนตราสาปแช่ง อย่างไรก็ไม่เป็นผลจริง

(อ้างอิงข้อมูลจาก 'หนังสือมิติลี้ลับในพงศาวดาร' โดย โรม บุนนาค) 

‘Lauren Singer’ นักเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อม ผู้ใช้ชีวิตแบบ ’ไม่ผลิตขยะ‘ มาแล้วกว่าสิบปี

ปัญหาขยะเป็นปัญหาโลกแตก ซึ่งแก้ได้ยากมาก ๆ แต่มีหญิงสาวชาว New York ผู้หนึ่งซึ่งใช้ชีวิตปลอดขยะ (Zero waste) มาแล้วกว่าสิบปี ทั้ง ๆ ที่เธออาศัยอยู่ในมหานครใหญ่อันดับต้น ๆ ของโลก

ทั้งนี้ ‘Zero Waste’ หรือ ‘แนวคิดขยะเป็นศูนย์’ เป็นแนวทางในการลดขยะตั้งแต่ต้นทาง ซึ่งจะช่วยทำให้ขยะที่ต้องถูกนำไปกำจัดลดเหลือน้อยที่สุด หรือเป็นศูนย์ ด้วยส่วนหนึ่งของปัญหาขยะเกิดจากการใช้ชีวิตประจำวันที่บริโภคสินค้าแบบใช้ครั้งเดียวแล้วทิ้ง เช่น ขวดน้ำพลาสติก ถุงพลาสติก หลอดพลาสติก โฟม ผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้คำนึงถึงผลกระทบต่อสุขภาพ สังคม และสิ่งแวดล้อม เมื่อขยะคือภาระของทุกคน จึงเป็นที่มาของการใช้ชีวิตแบบ ‘Zero Waste’ ซึ่งคือการหมุนเวียนทรัพยากรกลับมาใช้ใหม่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด และจะไม่สร้างขยะใหม่ ๆ โดยพยายามไม่ให้มีอะไรหลงเหลือจนเป็นขยะได้ โดยยึดหลักง่าย ๆ อย่าง 1A3R ซึ่งประกอบด้วย

1A : Avoid การหลีกเลี่ยงใช้สิ่งที่ก่อให้เกิดขยะเพิ่ม เช่น พลาสติกที่ใช้ครั้งเดียวแล้วทิ้ง
R1 : Reduce การใช้วัสดุที่ก่อให้เกิดขยะให้น้อยลง เช่น การใช้ถุงผ้าไปช็อปปิ้งแทนการรับถุงพลาสติกจากร้านค้า
R2 : Reuse การนำกลับมาใช้ใหม่ เช่น กล่องพัสดุที่ได้รับมา นำไปใส่ของส่งของต่อให้ผู้อื่น
R3 : Recycle การหมุนเวียนนำกลับมาใช้ใหม่ เช่น การ Recycle พลาสติก ให้ออกมาเป็นวัสดุตั้งต้นในการสร้างผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ

(Lauren Singer ในร้าน Package Free ของเธอ)

อย่างไรก็ตาม Lauren Nicole Singer เกิดที่นคร New York มลรัฐ New York เมื่อ 4 พฤษภาคม ค.ศ.1991 ปัจจุบันอายุ 33 ปี เรียนจบปริญญาตรี ด้านสิ่งแวดล้อมและรัฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัย New York เมื่อปี ค.ศ. 2013 และจบปริญญาโทจากมหาวิทยาลัย Columbia จากนั้นได้ทำงานเป็นนักวิเคราะห์ด้านความยั่งยืนของสำนักงานคุ้มครองสิ่งแวดล้อมของนคร New York ก่อนที่จะออกมาก่อตั้งธุรกิจสีเขียว The Simply Co. และ Package Free เธอเป็นนักเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อม ผู้ประกอบการอิสระ และบล็อกเกอร์ในการเคลื่อนไหวเพื่อไร้ขยะ โดยเธอเริ่มใช้ชีวิตแบบไร้ขยะมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 2012 ซึ่งเธอเป็นที่รู้จักจากการรวบรวมขยะทั้งหมดจากเว็บบล็อกที่สร้างขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ. 2012 โดยเธอบดขยะในโถบดขนาด 16 ออนซ์ และบล็อกของเธอก็คือ ‘Trash is for Tossers’ (ขยะเป็นของไร้ค่า) ซึ่งให้คำแนะนำแก่ผู้อ่านในการใช้ชีวิตอย่างยั่งยืนโดยปลอดขยะ พร้อมกับบันทึกวิถีชีวิตที่ปราศจากขยะ เพื่อเปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภคเพื่อเลิกการฝังกลบขยะ และลดละเลิกผลิตภัณฑ์จากอุตสาหกรรมที่ก่อให้เกิดมลภาวะต่อสิ่งแวดล้อม

(น้ำยาซักผ้าออร์แกนิกและปลอดสารพิษ The Simply Co.)

Lauren Nicole Singer ได้ออกจากงานประจำในปี ค.ศ. 2014 และเปิดตัว The Simply Co. โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อนำผลิตภัณฑ์ดูแลส่วนบุคคล เช่น น้ำยาซักผ้าปลอดสารพิษออกสู่ตลาด น้ำยาซักผ้าออร์แกนิกของเธอได้รับการสนับสนุนจาก Kickstarter และจำหน่ายผ่านเว็บไซต์ของ Kickstarter และที่ร้านค้าส่งทั่วสหรัฐอเมริกา เริ่มผลิตผลิตภัณฑ์พร้อม ๆ กัน The Simply Co. ในปี ค.ศ. 2017 เธอเปิด Package Free เป็นร้านแบบป๊อปอัพในเมือง Williamsburg และนับตั้งแต่เปิดตัว Package Free สามารถลดขยะจากการฝังกลบได้หลายร้อยล้านชิ้น ในปี ค.ศ. 2023 นอกจากนี้ เธอยังได้ร่วมก่อตั้ง Overall Capital โดยเธอบอกว่า Rachel Carson และ Bea Johnson ในฐานะนักเขียนและนักเคลื่อนไหวเป็น 2 แรงบันดาลใจให้สนใจเรื่องความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม และเธอยังได้รับการเสนอชื่อให้เป็น ‘สตรีที่น่าจับตามอง’ ของ Business Insider และ ‘หนึ่งในห้าสิบสตรีเปลี่ยนโลก’ ของ InStyle และ ‘ผู้เปลี่ยนแปลง ปี 2020’ ของ  Well + Good 

อย่างไรก็ตาม เรา ๆ ท่าน ๆ อาจจะคิดเองว่า แค่เปลี่ยนพฤติกรรมของตัวเองง่าย ๆ อย่างการเริ่มต้นจากการใช้กล่องข้าว ขวดน้ำ ที่สามารถนำกลับมาใช้ซ้ำได้ หรือแม้แต่ร้านค้าทางเลือกอย่าง Refill Station ที่ให้ความสำคัญกับปัญหาสิ่งแวดล้อม ในรูปแบบของการไม่ง้อบรรจุภัณฑ์พลาสติก โดยทุกคนนำภาชนะไม่ว่าจะเป็นขวดแก้วหรือขวดโหล มาเติมผลิตภัณฑ์ด้วยตัวเองนำกลับไปใช้ที่บ้าน และการคัดแยกขยะจะช่วยอะไรได้มากมาย แต่ความจริงแล้วการแยกขยะก่อนทิ้งมีประโยชน์อย่างมาก ทั้งเป็นการประหยัดงบประมาณของประเทศ ขยะอันตรายจะได้รับการกำจัดอย่างถูกวิธีเพื่อลดปัญหาหรือมลพิษต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นตามมา ฉะนั้นหากทุกครอบครัวเริ่มต้นที่การคัดแยกขยะก่อนทิ้ง เพียงเท่านี้ก็จะช่วยลดปริมาณขยะมูลฝอยที่ต้องนำไปกำจัดให้มีปริมาณน้อยลง และเป็นการลดภาวะโลกร้อนได้อีกทางหนึ่งด้วย

WORLD

‘เรือขนส่งพลังงานไฟฟ้า’ ใหญ่สุดในโลกพร้อมให้บริการแล้วในจีน ชี้ ลดการใช้น้ำมัน 3,900 กก. - ลดการปล่อยมลพิษได้มากตลอดทั้งปี

(29 เม.ย.67) สำนักข่าวเซาท์ ไชนา มอร์นิง โพสต์ รายงานว่า เรือขนส่งคอนเทนเนอร์พลังงานไฟฟ้าที่ใหญ่ที่สุดในโลกที่ผลิตโดยจีน เตรียมใช้งานจริงแล้ว โดยจะให้บริการขนส่งระหว่างนครเซี่ยงไฮ้และเมืองนานกิงในทุกสัปดาห์

‘เรือ Greenwater 01’ ได้รับการพัฒนาและก่อสร้างโดยไชนา โอเชียน ชิปปิง กรุ๊ป (China Ocean Shipping Group: Cosco) ซึ่งพลังงานทั้งหมดที่ขับเคลื่อนเรือมาจาก ‘แบตเตอรี่’

การใช้พลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ ทำให้เรือสามารถลดการใช้น้ำมันได้ 3,900 กิโลกรัมต่อการเดินทาง 100 ไมล์ทะเล และช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ 12.4 ตัน

หลังจากเรือออกเดินทางครั้งแรกในวันนี้ บริษัท Cosco เผยผ่านบัญชีวีแชทของตนเองว่า เรือลำดังกล่าวลดการปล่อยมลพิษได้มากตลอดทั้งปี และช่วยหนุนอุตสาหกรรมขนส่งอย่างแข็งขันเพื่อให้บรรลุเป้าหมายการปล่อยคาร์บอนสูงสุด และบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอน

Cosco เผยอีกด้วยว่า เรือขนส่งพลังงานไฟฟ้าลำนี้ทำลายสถิติ ด้วยความยาว, ความกว้างกลางลำ,จำนวนคอนเทนเนอร์ที่สามารถบรรทุกได้ ปริมาณน้ำหนักที่เรือรับได้ และความจุแบตเตอรี่ไฟฟ้า

ทั้งนี้ Greenwater 01 มีความยาว 120 เมตร, กว้าง 24 เมตร หรือมีขนาดเทียบเท่ากับสนามบาสเกตบอล 10 แห่ง และมีความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 19 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

โดยแบตเตอรี่ตัวหลักของเรือพลังงานไฟฟ้าลำนี้มีความจุมากกว่า 50,000 กิโลวัตต์ชั่วโมง และยังมีกล่องแบตเตอรี่อีกมากมายที่ไว้ใช้เพิ่มเติมเมื่อต้องออกเดินทางไกล ซึ่งกล่องแบตเตอรี่อื่น ๆ มีความจุอยู่ที่ 1,600 กิโลวัตต์ชั่วโมง และมีขนาดเทียบเท่าคอนเทนเนอร์มาตรฐาน 20 ฟุต

ด้าน กัปตันหวัง จุน กล่าวกับสำนักข่าวซีซีทีวี (CCTV) เอาไว้ว่า กล่องแบตเตอรี่ 24 กล่อง ทำให้เรือมีพลังงานไฟฟ้ารวม 80,000 กิโลวัตต์ ขณะที่เรือขนส่งทั่วไปใช้น้ำมันราว 15 ตัน เมื่อต้องเดินทางไกลพอ ๆ กับ Greenwater 01

สำหรับความปลอดภัยของเรือ ‘จาง ลี่ฝู’ เจ้าหน้าที่ท่าเรือหยางซานในเซี่ยงไฮ้ บอกว่า ลูกเรือได้รับการฝึกอบรมไฟไหม้พิเศษ เพื่อรับมือกับเหตุฉุกเฉินต่าง ๆ

อย่างไรก็ตาม หากเรือเกิดไฟไหม้เนื่องจากแบตเตอรี่ลิเทียมและฟอสเฟต ต้องดับเพลิงด้วยก๊าซดับเพลิงชนิดพิเศษที่มีส่วนผสมของคาร์บอน, ฟลูออรีน และไฮโดรเจน เพราะไม่สามารถดับได้ด้วยคาร์บอนไดออกไซด์หรือน้ำ เหมือนที่ใช้ดับไฟในเรืออื่น ๆ

'ตำรวจมะกัน' เล่นแรง!! 'จับกุม-ทำร้าย' ม็อบนักศึกษากว่า 700 คน สกัดกระแสประท้วงความบ้าสงครามของอิสราเอลจากเด็กๆ

เจ้าหน้าที่ตำรวจสหรัฐฯ เริ่มออกปฏิบัติการจับกุมกลุ่มนักศึกษาที่เข้าร่วมการประท้วงต่อต้านสงครามในเขตฉนวนกาซาของอิสราเอล ที่ตอนนี้กำลังขยายวงในสถาบันอุดมศึกษาชั้นนำทั่วประเทศ ล่าสุด มีรายงานการใช้สารเคมีที่ทำให้ผิวหนังระคายเคือง และ ปืนช็อตไฟฟ้า เพื่อสลายการชุมนุมของนักศึกษา และได้จับกุมผู้ร่วมประท้วงในมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ไปแล้วถึง 675 คน 

จุดเริ่มต้นของการประท้วง เกิดขึ้นที่ Columbia University ในมหานครนิวยอร์ก เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา เมื่อมีกลุ่มนักศึกษาผู้สนับสนุนปาเลสไตน์นัดรวมตัวประท้วงเรียกร้องให้อิสราเอลยุติการโจมตีทางทหารในพื้นที่ฉนวนกาซา และให้คณะผู้บริหารของ Columbia University แสดงจุดยืนต่อต้านการทำสงครามของอิสราเอลด้วยการยกเลิกสัญญาความร่วมมือทางวิชาการต่อบริษัทต่าง ๆ ที่เป็นของอิสราเอล 

ซึ่งการประท้วงของกลุ่มนักศึกษาของมหาวิทยาลัย Columbia University ถูกมองว่าเข้าข่ายแนวคิดเหยียดชาวยิวอย่างรุนแรง ที่ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจนิวยอร์กส่งกำลังเข้าจับกุมกลุ่มนักศึกษาที่ปักหลักประท้วงถึงในเขตรั้วมหาวิทยาลัยกว่า 100 คน 

แต่กลับกลายเป็นว่า การบุกจับกุมของเจ้าหน้าที่รัฐ กลับโหมกระพือกระแสการประท้วงต่อต้านสงครามในกาซาให้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในกลุ่มนักศึกษาอเมริกัน ที่มีการนัดรวมกลุ่มประท้วงภายในสถาบันอย่างมากมาย ลามตั้งแต่เขตฝั่งตะวันออก ไปจนถึงฝั่งตะวันตก และตอนนี้ กระแสเริ่มไปไกลถึงสถาบันในต่างประเทศแล้ว ทั้งใน แคนาดา, ยุโรป และออสเตรเลีย ก็มีรายงานการประท้วงของนักศึกษาแล้วเช่นกัน

หลังจากที่การประท้วงของกลุ่มนักศึกษากำลังเข้าสู่สัปดาห์ที่ 2 ก็มีรายงานการบุกจับกุมนักศึกษาตามมหาวิทยาลัยต่าง ๆ เริ่มที่ University of Texas ที่มีการบุกจับกุมอย่างชุลมุน ตามมาด้วย University of Southern California ที่มีนักศึกษาถูกจับไปร่วม 100 คน 

และเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา มีข่าวการจับกุมม็อบนักศึกษาในสหรัฐฯ อีกหลายสถาบัน อาทิที่ Northeastern University, Indiana University, Arizona State University, Washington University  ซึ่งหากนับรวมจำนวนนักศึกษาที่ถูกคุมขัง หลังมีการประท้วงต่อต้านอิสราเอลในรั้วสถาบันกว่า 10 วัน มีมากถึง 675 ราย 

นอกจากนี้ ยังมีนักศึกษาบางคนที่เข้าร่วมการประท้วง ถูกลงโทษถึงขั้นพักการเรียน หรือ ไล่ออกจากสถาบัน ซึ่งกรณีเช่นนี้เกิดขึ้นน้อยมากในสถาบันการศึกษาในสหรัฐ แต่กลับเกิดขึ้นในการประท้วงครั้งนี้ในหลายสถาบัน ได้แก่ Yale University, Cornell University, Vanderbilt University และที่ University of Minnesota

จอห์น เฮนเดรน นักศึกษาจาก Princeton University ในรัฐนิวเจอร์ซี New Jersey ให้สัมภาษณ์กับสื่อต่างชาติว่า การประท้วงในประเทศนี้มีราคาสูงที่ต้องจ่าย และนักศึกษาจำนวนมากกำลังเสี่ยงที่จะถูกไล่ออกจากสถาบันอย่างสูญเปล่า ซึ่งค่าเรียนที่ Princeton ก็สูงถึงปีละ 50,000 เหรียญ (ประมาณ 1.8 ล้านบาท) และมีนักศึกษาจำนวนไม่น้อยที่ยอมทุ่มเงินเก็บทั้งชีวิตเพื่อมาเรียนที่นี่ แต่ทว่าหลายคนยอมที่จะเสี่ยง เพื่อต้องการแสดงพลังในสังคมได้เห็น 

ในขณะเดียวกัน ทางการสหรัฐฯ อ้างถึงเหตุผลที่จำเป็นต้องสลายการชุมนุม และเข้าจับกุมนักศึกษาเนื่องจากพบหลักฐานการสร้างวาทกรรมความรุนแรงในกลุ่มผู้ประท้วง เช่น ยุยงให้มีการสังหารหมู่ชาวยิว ดังเช่นในกรณีที่ เกิดขึ้นใน Univesity of Texas และ Northeastern University ที่ทำให้เบนจามิน เนทันยาฮู ผู้นำอิสราเอลออกมาประณามกลุ่มนักศึกษาอเมริกันที่ร่วมประท้วงต่อต้านอิสราเอล และสนับสนุนชาวปาเลสไตน์ว่าเป็นสิ่งที่เลวร้ายอย่างมาก และต้องยุติการกระทำโดยทันที 

แต่ทั้งนี้ การประท้วงในกลุ่มนักศึกษาสหรัฐฯ ไม่ได้มาจากกลุ่มผู้สนับสนุนปาเลสไตน์เท่านั้น แต่ยังมีกลุ่มชนชาวยิวในสหรัฐฯ ที่เป็นลูกหลานผู้รอดชีวิตจากการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ที่ไม่ต้องการเห็นชาวอิสราเอลเข่นฆ่าชนชาติอื่น ที่ไม่ต่างจากชะตากรรมที่บรรพบุรุษของพวกเขาเคยเผชิญมา และนักเคลื่อนไหวบางกลุ่มเห็นว่า รัฐบาลสหรัฐฯ พยายามขัดขวางเสรีภาพในการพูด และการแสดงความเห็นต่างทางการเมืองของเหล่านักศึกษา อันเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานในประเทศเสรีอย่างสหรัฐอเมริกา 

40% ของ ‘เบบี้บูมเมอร์’ ทั่วโลก กำลังขาดเงินออมวัยเกษียณ ต้องวางแผนทำงานไปจนตกงาน เพื่อหารายได้พอประทังชีพ

(29 เม.ย.67) Business Tomorrow เผยรายงานล่าสุดของ TCDC ชี้ว่ากลุ่มคน 'เบบี้บูมเมอร์' หรือคนเกิดในช่วงปี 2489-2507 ทั่วโลกกว่า 40% วางแผนทำงานไปจนกว่าจะตกงาน ด้วยปัญหาด้านการเงินและรายได้ที่ไม่เพียงพอหลังเกษียณอายุ

แนวโน้มนี้สอดคล้องกับข้อมูลจากสหรัฐอเมริกา ที่พบว่ากลุ่ม 'Peak Boomer' หรือเบบี้บูมเมอร์รุ่นสุดท้ายกำลังเข้าสู่วัยเกษียณในปีนี้กว่า 30 ล้านคน แต่มีเงินออมน้อยกว่า 250,000 ดอลลาร์ หรือประมาณ 9.2 ล้านบาท ถึงเกือบ 2 ใน 3 

ตัวเลขนี้แสดงว่าคนกลุ่มนี้ไม่สามารถพึ่งพิงเงินออมได้ จำเป็นต้องพึ่งพาประกันสังคมเพื่อเลี้ยงชีพ จึงต้องทำงานต่อไปจนแก่เฒ่า หรือแม้แต่จนตาย เพื่อให้มีรายได้เลี้ยงชีพ

ปัญหาเงินออมน้อยของเบบี้บูมเมอร์ส่วนหนึ่งมาจากการเปลี่ยนแปลงระบบบำนาญจากที่เคยได้รับเงินอุดหนุนจากนายจ้าง มาเป็นแผนการลงทุนแบบ 401k ที่พนักงานต้องหักเงินเดือนเข้ากองทุนเอง แต่มีเพียง 24% ของคนอเมริกันเท่านั้นที่ถือหุ้นกองทุนนี้

นอกจากนี้ยังพบว่ามากกว่า 50% ของกลุ่มวัยเกษียณอเมริกันมีรายได้ต่ำกว่า 300,000 ดอลลาร์ต่อปี หรือประมาณ 11 ล้านบาทเท่านั้น โดยมีสัดส่วนมากที่สุดอยู่ที่รายได้ระหว่าง 10,000-19,000 ดอลลาร์ต่อปี หรือราว 3.7-7 แสนบาท ซึ่งเมื่อเทียบกับค่าครองชีพในปัจจุบันที่สูงขึ้นแล้ว นับว่าเป็นรายได้น้อยมาก

สำหรับประเทศไทยแม้ยังไม่มีสถิติชัดเจนว่ากลุ่มเบบี้บูมเมอร์มีสถานะทางการเงินอย่างไร แต่หากสภาวะเศรษฐกิจไม่ดีขึ้น มีราคาสินค้าแพงและค่าครองชีพสูงเช่นนี้ คนวัยทำงานรุ่นปัจจุบันที่กำลังจะเข้าสู่วัยเกษียณในอนาคตอันใกล้ ก็อาจต้องประสบปัญหาเดียวกับเบบี้บูมเมอร์ในต่างประเทศ ต้องทำงานต่อไปจนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต

© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top