Friday, 26 April 2024
NEWS

‘หมอดื้อ’ ประกาศลาออก จาก ‘หน.ศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่’ ชี้ ลดความกังวลขององค์กร ปมวิจารณ์เรื่อง ‘วัคซีน-ไวรัสตัดต่อพันธุกรรม’

(26 เม.ย.67) ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา Thiravat Hemachudha โดยระบุว่า…

เรียนทุกท่านครับ

เนื่องจากมีความกังวลจากองค์กร ว่าหมอเอง ทางสังคมมีการใช้ชื่อขององค์กรในการให้ความเห็นเรื่องของวัคซีน / เรื่องของไวรัสตัดต่อพันธุกรรม และเรื่องอื่น ๆ

ดังนั้น หมอได้ ลาออกจากหัวหน้าศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ แล้วครับ ในวันที่ 25/4
และเป็นผู้เชี่ยวชาญทางอายุรกรรมและผู้เชี่ยวชาญทางระบบประสาท ในฐานะกลุ่มแพทย์และนักวิทยาศาสตร์ ที่เห็นชีวิตของประชาชนเป็นที่ตั้ง

(ยังคงเป็นอาจารย์พิเศษสาขาประสาทวิทยา โดยไม่รับค่าตอบแทน)

ซึ่งทางด้านนายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต ก็ได้โพสต์ข้อความระบุว่า…

หมอธีระวัฒน์ลาออกจาก ศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพ โรคอุบัติใหม่ ไม่ใช่ความพ่ายแพ้ แต่เพื่อชัยชนะทาง ‘อิสรภาพ’ ในการ ‘พูดความจริง’ เดินหน้าต่อร่วมจัดเสวนา ‘อันตรายจากวัคซีนโควิด-19 ร้ายแรงกว่าที่คิด’ หอศิลป์กรุงเทพ 3 พ.ค.นี้

ตามที่ ศาสตราจารย์นายแพทย์ ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ได้ตัดสินใจลาออกจากการเป็นศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ด้วยเหตุผลว่า

‘เนื่องจากมีความกังวลจากองค์กร ว่าหมอเอง ทางสังคมมีการใช้ชื่อขององค์กรในการให้ความเห็นเรื่องของวัคซีน /เรื่องของไวรัสตัดต่อพันธุกรรม และเรื่องอื่น ๆ’

ขอให้กำลังใจแด่ศาสตราจารย์นายแพทย์ ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ที่ได้มีความกล้าหาญและเสียสละในการตัดสินใจครั้งนี้

การตัดสินใจครั้งนี้ไม่ใช่เป็นความพ่ายแพ้ หากแต่เป็นชัยชนะในการประกาศอิสรภาพเพื่อพูดความจริงให้ได้ตรงประเด็นได้มากยิ่งขึ้น ในฐานะ ‘ศาสตราจารย์นายแพทย์’ ผู้เชี่ยวชาญทางอายุรกรรมและผู้เชี่ยวชาญทางระบบประสาท

และในฐานะ ‘กลุ่มแพทย์และนักวิทยาศาสตร์ ที่เห็นชีวิตของประชาชนเป็นที่ตั้ง’ และการลาออกครั้งนี้ไม่ได้ทำให้การทำหน้าที่ของศาสตราจารย์นายแพทย์ ธีระวัฒน์ เหมะจุฑาหายไป เพราะวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต จะยังคงเดินหน้าและเคียงข้างในการนำเสนอความจริงและทางออกให้กับประเทศ ร่วมกับศาสตราจารย์นายแพทย์ ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ต่อไป

ดังนั้น การจัดกิจกรรมระหว่างศาสตราจารย์นายแพทย์ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา กับวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิตจะยังคงเดินหน้าต่อไปในทางวิชาการเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน ด้วยความจริงที่เข้มข้นกว่าเดิม

ดังนั้น จึงจะขอแจ้งตัดชื่อหรือโลโก้ในภาพการประชาสัมพันธ์ ที่เกี่ยวข้องกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หรือ ศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ โดยได้นำแถบดำมาปิดโลโก้ทั้งหมดด้านล่างเอาไว้แล้ว สำหรับการจัดเสวนาที่กำลังจะเกิดขึ้นในวันที่ 3 พฤษภาคม 2567 นี้ คงเหลือแต่ ‘วิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต’ เท่านั้น ที่จะเป็นเจ้าภาพในการจัดงานนี้เอง

ดังนั้น ช่วยกันแชร์ และขอเชิญทุกท่านเข้าร่วมเสวนาครั้งที่ 2 ณ หอศิลป์กรุงเทพฯ วันที่ 3 พ.ค. เปิดข้อมูลและความจริงชัดเจนยิ่งขึ้น ในหัวข้อ ‘อันตรายจากวัคซีนร้ายแรงกว่าที่คิด’

โดย วิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออกมหาวิทยาลัยรังสิต จัดคลินิกแพทย์เคลื่อนที่ และการเสวนา ครั้งที่ 2 ในหัวข้อ ‘อันตรายจากวัคซีนโควิด-19 ร้ายแรงกว่าที่คิด’ ในวันศุกร์ที่ 3 พฤษภาคม 2567 ณ ห้องอเนกประสงค์ ชั้น 1 หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร สี่แยกปทุมวัน และในงานพบกับ…

10.00 น.-13.00 น. หน่วยแพทย์เคลื่อนที่ของวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออกมหาวิทยาลัยรังสิต เปิดให้คำปรึกษาและรักษาเบื้องต้น ภาวะลองโควิด และผลกระทบจากวัคซีน โควิด-19 ด้วยการบูรณาการ ศาสตร์การแพทย์แผนไทย การแพทย์แผนจีน และธรรมชาติบำบัดฟรี

13.00 น.-17.00 น. งานเสวนาทางวิชาการในหัวข้อ ‘อันตรายจากวัคซีนโควิด-19 ร้ายแรงกว่าที่คิด’ โดย ศาสตราจารย์นายแพทย์ ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ผู้เชี่ยวชาญทางอายุรกรรมและผู้เชี่ยวชาญทางระบบประสาท, นายแพทย์ อรรถพล สุคนธาภิรมย์ กลุ่มแพทย์และจิตอาสาคนไทยพิทักษ์สิทธิ์, อาจารย์ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต และผู้เข้าร่วมเสวนาอีกหลายท่าน

จึงขอเรียนเชิญท่านสื่อมวลชน ผู้ป่วย และพี่น้องประชาชนที่สนใจหรือต้องการให้กำลังใจ หรือแบ่งปันข้อมูล เข้าร่วมงานในวันและเวลาดังกล่าว

ERDI-CMU ร่วมกับ บมจ. เจริญชัยหม้อแปลงไฟฟ้า เดินหน้าต่อเนื่อง นำเสนอโครงการ Platform บริหารจัดการพลังงานสะอาด

หม้อแปลง Low Carbon, Solar, Energy Storage, EV แก้ปัญหา Net Zero, Near Zero, Peak Demand, Demand Response" ต่อคณะอนุกรรมาธิการพิจารณาศึกษาการส่งเสริมและพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิจัยและนวัตกรรม สภาผู้แทนราษฎร  

“รศ.ดร. สิริชัย และ ผศ.ดร.พฤกษ์” รับรองผลการประหยัด Platform บริหารจัดการ พลังงานสะอาด ประหยัดจริง 9%

รศ.ดร. สิริชัย คุณภาพดีเลิศ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยและพัฒนาพลังงานนครพิงค์, ผศ.ดร.พฤกษ์ อักกะรังสี และดร. ณัฐวุฒิ จารุวสุพันธุ์ และบริษัท เจริญชัย หม้อแปลงไฟฟ้า จำกัด นำเสนอโครงการ "Platform บริหารจัดการพลังงานสะอาด หม้อแปลง Low Carbon, Solar, Energy Storage, EV แก้ปัญหา Net Zero, Near Zero, Peak Demand, Demand Response" ต่อ นายซูชัย มุ่งเจริญพร ประธานคณะอนุกรรมาธิการ และ คณะอนุกรรมาธิการพิจารณาศึกษาการส่งเสริมและพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิจัยและนวัตกรรม สภาผู้แทนราษฎร ณ ประชุมกรรมาธิการ N 408 ชั้น 4 อาคารรัฐสภา ในวันพุธที่ 24 เมษายน 25567

ด้วยสถาบันวิจัยและพัฒนาพลังงานนครพิงค์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ร่วมกับบริษัท เจริญชัย          หม้อแปลงไฟฟ้า จำกัด ได้ร่วมวิจัยและได้รับทุนสนับสนุนจากสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) ให้ดำเนินงานวิจัยหม้อแปลง IoT และระบบบริหารจัดการพลังงานทดแทน Solar กับ Energy Storage ด้วยโปรแกรม Sustainable Green Energy Management System ภายใต้โครงการ “Low Carbon Transformer ระบบจัดการหม้อแปลงไฟฟ้า เพื่อรองรับพลังงานสะอาดอย่างมั่นคง Net Zero, Near Zero, Peak Demand และ Demand Response” ซึ่งจากการดำเนินงานพบว่าหม้อแปลงที่ใช้ในการดำเนินโครงการที่กล่าวในข้างต้น ตอบโจทย์ด้านการประหยัดพลังงานและอนุรักษ์พลังงาน ในภาคอุตสาหกรรม Smart Factory, Smart Building ในด้าน Net Zero & Near Zero, Peak Demand, Demand Response การประหยัดพลังงานและอนุรักษ์พลังงาน โดยสามารถลดการใช้พลังงาน ลดต้นทุนค่าไฟฟ้า และลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ และมีระยะเวลาคืนทุนภายในเวลา  2 – 5  ปี ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลในการแก้ปัญหาด้านการประหยัดพลังงานและอนุรักษ์พลังงาน เพื่อเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ สังคม ประชาชนและผู้ประกอบการ ด้านความมั่นคงระบบไฟฟ้าพลังงานสะอาด

หม้อแปลง Low Carbon เป็นหม้อแปลงบริหารระบบจัดการพลังงานที่บริหารจัดการการสิ้นเปลืองให้เกิดประสิทธิภาพและมีความเสถียรภาพกับการใช้พลังงานไฟฟ้าที่มั่นคงและยั่งยืน ทำให้โรงงานอุตสาหกรรม, อาคาร สถานประกอบการ ลดค่าไฟฟ้า 5-20% (Energy Saving) ลดคาร์บอน 5-20% (Low Carbon) มากกว่า 100 ล้านตัน ลดมลพิษ (Low Emission) ทำให้อุปกรณ์อายุการใช้งานยาวนานขึ้น (Long Life Equipment) เพื่อเป็นการตอบโจทย์ให้ผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรม สถานประกอบการ เจ้าของอาคาร ตามนโยบายของรัฐบาลในการลดก๊าซเรือนกระจก ลดโลกร้อน และลดอุณหภูมิโลก

1 พ.ค.นี้ ปชช. อีก 33 จังหวัดเตรียมพร้อม นโยบาย 30 บาทรักษาทุกที่ ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว เดินเครื่อง เฟส 3 ครอบคลุม 45 จังหวัด หมอชลน่านยันสิ้นปีขยายได้ทั้งประเทศ

น.ส.ตรีชฎา ศรีธาดา โฆษกกระทรวงสาธารณสุข ฝ่ายการเมือง เปิดเผยถึงความก้าวหน้าของนโยบาย 30 บาทรักษาทุกที่ ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว ที่น.พ.ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ติดตามเร่งรัดว่า ขณะนี้การดำเนินการจะเข้าสู่ระยะที่ 3 หรือเฟส 3 ในวันที่ 1พฤษภาคมที่จะถึงนี้ การให้บริการจะครอบคลุมทุกเฟสจำนวน 45 จังหวัด โดยเพิ่มจาก 12 จังหวัดเพิ่มอีก 33 จังหวัด ครอบคลุมอีก 16 เขตสุขภาพ ได้แก่ เชียงใหม่ เชียงราย น่าน พะเยา ลำปาง ลำพูน แม่ฮ่องสอน กำแพงเพชร พิจิตร ชัยนาท อุทัยธานี สระบุรี นนทบุรี ลพบุรี อ่างทอง นครนายก  พระนครศรีอยุธยา ปทุมธานี อุดรธานี สกลนคร นครพนม เลย หนองคาย  บึงกาฬ ชัยภูมิ  บุรีรัมย์ สุรินทร์ สงขลา สตูล ตรัง พัทลุง ปัตตานี ยะลา 

น.ส.ตรีชฎา กล่าวว่า กระทรวงสธ.มีความมั่นใจว่า การขับเคลื่อนตามนโยบายรัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสินในเฟส 3 จะสามารถยกระดับการบริการ อำนวยความสะดวกประชาชน ไม่ต้องรอคิว รอรับยา ตรวจเสร็จรับยาที่บ้าน Health Rider เหมือนที่เริ่มมาแล้วในเฟส 1 เมื่อวันที่ 7 มกราคม 2567 นำร่อง 4 จังหวัด ต่อมาเฟส 2 นำร่องอีก 8 จังหวัด เมื่อวันที่ 1 มีนาคมที่ผ่านมา ทั้ง 2 เฟส ประชาชนพอใจการได้รับบริการเกือบ 100 % การให้บริการได้เชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพอิเล็กทรอนิกส์ส่วนบุคคลของโรงพยาบาลในสังกัดกระทรวงสธ.ครบทุกแห่งและทุกกองทุนสุขภาพ ปัจจุบันมีหน่วยบริการในสังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงสธ. 893 แห่ง จาก 902 แห่งทั่วประเทศ คิดเป็นร้อยละ 99.7 ผ่านเกณฑ์มาตรฐานการพัฒนาโครงสร้างเป็นโรงพยาบาลอัจฉริยะ มีการเชื่อมต่อแอพพลิเคชั่นและไลน์หมอพร้อมทั่วประเทศแล้่วกว่า 40 ล้านคน มีการนัดหมายและดำเนินการบริการระบบการแพทย์ทางไกล 55,446 ครั้ง ออกใบรับรองแพทย์ดิจิทัล 81,317ใบ มีการจัดส่งยาและเวชภัณฑ์โดย Health Rider 55,376 ออร์เดอร์ ซึ่งกว่าร้อยละ 90 ของผู้รับบริการมีความพึงพอใจดีมาก เนื่องจากได้รับบริการที่รวดเร็ว เจ้าหน้าที่ส่งยาพูดจาสุภาพ ความสมบูรณ์ของพัสดุ ลดระยะเวลาการรอคอย ช่วยลดความแออัดในการรอรับยาที่ห้องตรวจผู้ป่วยนอก ในระยะเฟส 4 จะขยายครอบคลุมทั้งประเทศภายในปี 2567 อย่างแน่นอน

โฆษกกระทรวง สธ.ฝ่ายการเมืองกล่าวทิ้งท้ายว่า จากการสรุปข้อมูลล่าสุดวันที่ 24 เมษายน 2567 พบความก้าวหน้าการดำเนินงานโครงการ รับ - ส่งยา ( Health Rider) ดังนี้ จังหวัดที่เข้าร่วมโครงการ 39 จังหวัด หน่วยบริการที่เข้าร่วม 301 แห่ง 3. อสม.และบุคลากรสาธารณสุขที่เข้าร่วมโครงการฯแล้ว 5,258 คน วิ่งจัดส่งยาแล้วทั้งประเทศ 85,217 ออร์เดอร์ และมีรายได้ของ Health Rider เป็นความภาคภูมิใจของบุคลากรของกระทรวงสธ. และผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายที่ร่วมมือกันเต็มที่และดียิ่งเพื่อประโยชน์สุขของพี่น้องประชาชนตามนโยบายของรัฐบาล

พิษณุโลก-กองทัพภาคที่ 3 นำเยาวชนทัศนศึกษานอกสถานที่ในพื้นทรากรุงเทพมหานคร และกองทัพภาคที่ 4 เพื่อเรียนรู้และสร้างเสริมประสบการณ์ ในช่วงปิดภาคการศึกษาฤดูร้อน

พลตรี สมบัติ บุญกอแก้ว เสนาธิการกองทัพภาคที่ 3/เสนาธิการศูนย์ปฏิบัติการกองทัพภาคที่ 3 พร้อมด้วย คุณพธู บุญกอแก้ว รองประธานสมาคมแม่บ้านทหารบก สาขากองทัพภาคที่ 3 ให้การต้อนรับเยาวชนในพื้นที่กองทัพภาคที่ 3 พบปะพร้อมให้โอวาทแก่เยาวชนที่ร่วมโครงการทัศนศึกษานอกพื้นที่ ในความรับผิดชอบของกองทัพภาคที่ 3 ก่อนจะเดินทางไปยังแหล่งเรียนรู้และสถานที่สำคัญต่างๆ ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร และพื้นที่กองทัพภาคที่ 4 ห้วงวันที่ 26 -29 เมษายน 2567

โครงการทัศนศึกษานอกพื้นที่เป็นไปตามนโยบายของผู้บัญชาการทหารบกที่ให้กองทัพภาคที่ 1-4 จัดกิจกรรมนำเยาวชนในความรับผิดชอบของกองทัพภาคที่ 1-4 เดินทางไปทัศนศึกษาห้วงเดือน เมษายน-พฤษภาคม 2567 ซึ่งเป็นช่วงปิดภาคการศึกษา โดยเยาวชนที่เข้าร่วมโครงการเป็นเยาวชนที่ศึกษาในระดับชั้นมัธยมศึกษาหรือเทียบเท่า (อายุระหว่าง 11-18 ปี) ประกอบด้วย เยาวชนที่เป็นบุตรหลานกำลังพลและได้รับคัดเลือกเป็นมัคคุเทศก์น้อย มีความสามารถในการเป็นอินฟลูเอ็นเซอร์ เยาวชนในโครงการ ทหารพันธุ์ดี “ชุมชนเบิกบาน อาหารปลอดภัย” และเยาวชนที่สนใจเข้าศึกษาต่อในสถาบันการศึกษาในส่วนของกองทัพบก รวมทั้งสิ้น 36 คน 

ทั้งนี้เพื่อให้เยาวชนเหล่านี้ได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนเรียนรู้สภาพแวดล้อมทางสังคม ภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ รวมถึงการดำเนินงานตามศาสตร์พระราชา และหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง รวมทั้งให้เยาวชนมีความรักและภูมิใจในความเป็นไทย ตลอดจนได้รับทราบภารกิจของทหารในการปกป้องรักษาผลประโยชน์ของชาติ สำหรับสถานที่ที่จะนำเยาวชนไปทัศนศึกษา โดยมีสถานที่สำคัญดังนี้ พิพิธภัณฑ์ครุฑ จังหวัดสมุทรปราการ,กำแพงอนุสรณ์สถาน ,พิพิธภัณฑ์กองทัพบกเฉลิมพระเกียรติ กองบัญชาการกองทัพบก , อนุสาวรีย์วีรไทย 2484 (พ่อจ่าดำ) ,ห้องประวัติศาสตร์และหอเกียรติยศกองทัพภาคที่ 4, หมู่บ้านคีรีวง ,วัดถ้ำเขาขุนพนม และวัดเจดีย์(ไอ้ไข่) จังหวัดนครศรีธรรมราช 

POLITICS

'เช็ค-สุทธิพงษ์' ทึ่ง!! กรณีทุกข์ 'นุจรีย์' ถูก 'พีระพันธุ์-รวมไทยสร้างชาติ' ช่วย สะท้อน!! การเมืองแบบสุภาพบุรุษ-ไม่ขุดคู่แข่ง-ทำงานตาม DNA 'ลุงตู่'

(25 เม.ย. 67) นายสุทธิพงษ์ ธรรมวุฒิ หรือพี่เช็ค อดีตผู้ดำเนินรายการโทรทัศน์ชื่อดังจากรายการคนค้นคน หนึ่งในผู้ร่วมโครงการ ‘อาสามาด้วยใจ’ จากพรรครวมไทยสร้างชาติ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก 'Suthipong Thamawuit' ที่ทำให้ตัวเขาเข้าใจคำว่า 'สู้ให้ทุกปัญหา พึ่งพาได้ทุกเรื่อง' มากขึ้น โดยระบุว่า...

ได้ฟังอาจารย์พีหรือพี่ตุ๋ย (พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกฯ และ รมว.พลังงาน) พูดถึงกรณีการช่วยเหลือ 'นุจรีย์' ในงานประชุมใหญ่พรรครวมไทยสร้างชาติ มีประเด็นที่ผมคิดว่าน่าสนใจ (ติดตามคลิป 'นุจรีย์ ร้องขอความเป็นธรรม' ได้ที่นี่ >> https://youtu.be/-y-qpFrsZqc?si=Ito14ExcUxzx0LMI)

…………………………………………………..

1.ก่อนตัดสินใจมาหาพี่ตุ๋ย เธอบากหน้าไปมาแล้วหลายที่ โดยเฉพาะพรรคที่เธอบูชา 

- ผลที่ได้รับคือ คำสัญญาที่ว่างเปล่า

2.บังเอิญเธอไถติ๊กต็อกไปเจอคลิปหาเสียงที่มีข้อความ 'สู้ให้ทุกปัญหา พึ่งพาได้ทุกเรื่อง' ทำให้ตัดสินใจมาหาพี่ตุ๋ย

- เหมือนการเปิดทางของพระเจ้า

3.แต่พี่ตุ๋ยขอให้ตัดเนื้อหาที่พาดพิงคนอื่นออก เพราะไม่ใช้การโจมตีคนอื่นในการเล่นการเมือง

- ได้ฟังแล้วยิ่งนับถือ

4.ในสังคมที่เต็มไปด้วยการเรียกรับ และอาศัยเส้นสาย คนไร้เส้นอย่างนุจรีย์ นึกให้ตายก็นึกไม่ออก ว่าจะไปวิ่งเต้นหาใครได้

- กลายเป็นว่า ที่พึ่ง (เส้น) ของนุจรีย์ คือ เส้นก๋วยจั๊บ

5.คำสัญญาหรือการหาเสียงของนักการเมืองที่มีความจริงใจ ทำให้ประชาชนอย่างนุจรีย์มีที่พึ่ง

- ช่วยด้วยเมตตาธรรม ไม่เรียกรับผลประโยชน์ แต่พร้อมรับผล (คะแนนเสียง) จากการรับผิดชอบคำพูด (ในการหาเสียง)

6.ช่วยโดยการขอความร่วมมือจากกลไกราชการหลายหน่วยงาน ประสานความร่วมมือ 

- ให้กลไกได้ (ช่วยกัน) ทำงาน ไม่สั่ง ไม่ป๋า ไม่ข้ามหน้าข้ามตา 

7.ไม่คิดว่าเป็นเรื่องเล็ก แต่คือ เจตนาที่จะสื่อความหมาย ให้ทั้งสมาชิกพรรคและประชาชนที่จะเป็นผู้สนับสนุนพรรคในวันข้างหน้าเห็นว่า พรรคนี้ จริงใจที่จะ 'สู้ให้ทุกปัญหา พึ่งพาได้ทุกเรื่อง' ตามที่พูดไว้

- ไม่ว่าจะในหรือนอกสภา

8.ไม่ทำ IO ไม่สร้างเฟกนิวส์ ไม่ล้างสมอง ไม่สร้างความแตกแยก แต่ใช้ความจริงใจ 

- ในการสร้าง (ให้เกิด) แนวร่วม ขบวนการด้อมลุงตุ๋ย ทั่วทุกภูมิภาค ทุกสาขาอาชีพ เพื่อมาช่วยกัน

9.ผมเป็นสมาชิกพรรคกรีน แต่โดนลุงตุ๋ยตกเรียบร้อยแล้ว

- นายหัวอย่าน้อยใจ ยังไงก็เขียวทั้งตัวและหัวใจ

***ใครที่อยากรู้ว่า 'นุจรีย์ ร้องขอความเป็นธรรม' เรื่องอะไร และช่วยได้จริงแค่ไหน ติดตามรับชมคลิปนี้ได้ที่นี่ >> https://youtu.be/-y-qpFrsZqc?si=Ito14ExcUxzx0LMI 

'รทสช.' เห็นด้วยกับแนวทางแก้ไข รธน.ของรัฐบาลทุกประการ เพราะมั่นคงในการแก้ไข โดยไม่แตะต้องหมวด 1 หมวด 2

(24 เม.ย.67) นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สส.ราชบุรี ในฐานะโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบในหลักการ เพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางในการทำประชามติ เพื่อแก้ไขความเห็นที่แตกต่างในเรื่องรัฐธรรมนูญและเห็นควรจัดให้มีการออกเสียงประชามติ จำนวน 3 ครั้ง รวมถึงควรให้มีการแก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ. ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ พ.ศ. 2564 เพื่อให้กฎหมายดังกล่าวสามารถเป็นเครื่องมือทางประชาธิปไตยที่จะช่วยส่งเสริมประชาชนแสดงเจตจำนงในเรื่องต่าง ๆ ได้โดยตรงว่า พรรค รทสช.เห็นด้วยกับแนวทางของ ครม.ทุกประการ

นายอัครเดช กล่าวอีกว่า การออกเสียงประชามติ 3 ครั้งแม้จะถูกติติงว่า จะใช้งบประมาณจำนวนมากก็ตาม แต่มีความจำเป็นต้องปฏิบัติตามเนื่องจากการทำประชามติรอบแรกศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยไว้แล้วต้องทำ ตามที่มีผู้เคยยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ซึ่งคำวินัยของศาลรัฐธรรมนูญจะผูกพันทุกองค์กร ส่วนครั้งที่ 2 และครั้งที่ 3 เป็นการทำประชามติตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ ดังนั้นการทำ 3 ครั้งเป็นการปฏิบัติตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญและรัฐธรรมนูญ

“พรรครวมไทยสร้างชาติขอย้ำจุดยืนเดิมที่มั่นคงให้ไว้ตั้งแต่เข้าร่วมรัฐบาล หากมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ จะต้องไม่แตะหมวด 1 หมวด 2 เกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างเด็ดขาด พรรคได้ยืนหยัดในจุดยืนนี้มาโดยตลอดและจะยืนหยัดต่อไป ส่วนเนื้อหาอื่นจะแก้ไขอะไรบ้างก็ต้องเป็นไปตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดเช่นเดียวกัน” โฆษกพรรค รทสช.ย้ำ

‘ผู้ว่าฯ แบงก์ชาติ’ ส่งหนังสือด่วนถึง ครม. เตือน ‘ดิจิทัลวอลเล็ต’ ก่อหนี้มหาศาล

(24 เม.ย. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ทำหนังสือถึงสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ลงวันที่ 22 เม.ย.67 เพื่อเสนอความเห็นประกอบการพิจารณาในการประชุมคณะรัฐมนตรี วันที่ 23 เม.ย.67 มองว่าโครงการเติมเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท เป็นโครงการขนาดใหญ่ของประเทศ ต้องใช้เงินจำนวนมาก อาจก่อให้เกิดภาระหนี้ผูกพันต่อรัฐบาลในอนาคตดังนี้…

1. ความจำเป็น โครงการเติมเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท และผลกระทบต่อเสถียรภาพทางการคลังของประเทศ 

1.1 ควรดูแลครอบคลุมเฉพาะกลุ่มเป้าหมาย เพื่อเป็นการแบ่งเบาภาระค่าครองชีพ ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างมีประสิทธิผลคุ้มค่า และใช้งบประมาณลดลง โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ เช่น กลุ่มผู้มีรายได้น้อย หรือผู้ถือบัตรสวัสดิการฯ 15 ล้านคน ซึ่งดำเนินการได้ทันที และใช้งบประมาณเพียง 150,000 ล้านบาท และควรทำแบบแบ่งเป็นระยะ (phasing) เพื่อลดผลกระทบต่อเสถียรภาพการคลัง โดยความจำเป็นกระตุ้นการบริโภคในวงกว้างมีไม่มาก โดยในปี 2566 การบริโภคภาคเอกชนของไทยขยายตัวร้อยละ 7.1 เทียบกับค่าเฉลี่ยช่วงปี 2553 - 2565 ขยายตัวเฉลี่ยที่ร้อยละ 3 ต่อปี

1.2 โครงการเติมเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท ก่อให้เกิดภาระทางการคลังจำนวนมากในระยะยาว และหากไม่สามารถรักษาเสถียรภาพภาระหนี้ภาครัฐได้ จะเพิ่มความเสี่ยงที่ประเทศไทยจะถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือ เช่น เกณฑ์การประเมินของ Moody’s ได้กำหนดอัตราส่วนภาระดอกเบี้ยจ่ายต่อรายได้ของประเทศในกลุ่ม Baal (Rating ของไทยในปัจจุบัน) ไว้ว่าไม่ควรเกินร้อยละ 11 มองว่า โครงการเติมเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท จะทำให้มีอัตราสูงกว่าเกณฑ์ในปี 2568 หากไทยถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือ จะทำให้ต้นทุนการกู้ยืมภาครัฐและภาคเอกชนปรับเพิ่มขึ้น

1.3 การเพิ่มวงเงินกู้ปีงบประมาณ 2568 จนเกือบเต็มกรอบที่กฎหมายกำหนด ทำให้เหลือวงเงินกู้ได้อีกราว 5,000 ล้านบาท เทียบกับวงเงินคงเหลือเฉลี่ยในปีก่อนๆ มากกว่า 100,000 ล้านบาท อาจกระทบการจัดสรรวงเงินจากงบประมาณปี 2567 ทำให้งบกลางสำรองจ่ายกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นลดลงจนอาจไม่เพียงพอรองรับกรณีฉุกเฉิน ภายใต้สถานการณ์การเมืองโลกความไม่แน่นอนสูงและภาวะภัยธรรมชาติมีความรุนแรงมากขึ้น

1.4 รัฐบาลควรคำถึงความคุ้มค่าของการนำงบประมาณ 500,000 ล้านบาท ไปใช้ลงทุนแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างและยกระดับศักยภาพทางเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว ตัวอย่างการใช้งบประมาณที่ผ่านมา ได้แก่ โครงการพัฒนาบุคลากรการแพทย์ (ใช้งบเฉลี่ย 3.8 ล้านบาทต่อตำแหน่ง) สร้างบุคลากรการแพทย์ได้กว่า 130,000 ตำแหน่ง โครงการ เรียนฟรี 15 ปี สำหรับนักเรียนทั่วประเทศ (83,000 ล้านบาทต่อปี) สนับสนุนได้นานถึง 6 ปี โครงการรถไฟทางคู่ช่วงนครปฐม - ชุมพร (40,000 ล้านบาทต่อสาย) พัฒนาได้กว่า 10 สาย โครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน (190,000 ล้านบาทต่อสาย) พัฒนาได้กว่า 2 สาย

>> 2. แหล่งเงินสำหรับดำเนินโครงการเติมเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท

วงเงิน 500,000 ล้านบาท นำมาจากงบประมาณรายจ่าย และกู้เงินจาก ธ.ก.ส. โดยรัฐบาล รับภาระชดเชยค่าใช้จ่ายหรือการสูญเสียรายได้ ตามมาตรา 28 แห่ง พ.ร.บ. วินัยการเงินการคลัง ต้องไม่ขัดแย้งกับการควบคุมระบบเงินตรา และการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่เกษตรกร ควรมีความชัดเจนทางกฎหมายว่าการดำเนินการดังกล่าวอยู่ภายใต้หน้าที่และอำนาจและอยู่ภายใต้กฎหมาย วัตถุประสงค์ของ ธ.ก.ส.

เพื่อให้การดำเนินการเป็นไปด้วยความถูกต้อง และรอบคอบ จึงเสนอให้คณะรัฐมนตรีมอบหมายให้กระทรวงการคลังหารือคณะกรรมการกฤษฎีกา ธปท. ในฐานะผู้กำกับดูแลความเสี่ยงและฐานะของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ มีข้อกังวลว่า การที่รัฐบาลจะมอบหมายให้ ธ.ก.ส. สนับสนุนโครงการเติมเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท โดยยังมีภาระหนี้คงค้างกับ ธ.ก.ส. ถึงประมาณ 800,000 ล้านบาท

>> 3. ผู้พัฒนาระบบสำหรับโครงการเติมเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท

นับว่ามีความซับซ้อนและต้องรองรับผู้ใช้งานจำนวนมาก จึงต้องเป็นระบบที่มีประสิทธิภาพ มีความเสถียร และมีความมั่นคงปลอดภัยเพียงพอ เพื่อไม่ก่อให้เกิดความเสี่ยงเชิงระบบ (systemic risk) ธปท. จึงห่วงใยในการพัฒนาและดำเนินการระบบ จึงควรใช้ระบบพร้อมเพย์ และ Thai QR Payment เพื่อไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อน ลดต้นทุนในการพัฒนาระบบ และใช้ประโยชน์สูงสุด จากโครงสร้างพื้นฐานการชำระเงินที่มีอยู่

ด้วยเงื่อนไขของการใช้สิทธิที่มีความซับซ้อนในหลายมิติ รวมทั้งเป็นระบบเปิด (Open-loop) ต้องเชื่อมต่อกับผู้ให้บริการหลากหลาย ควรกำหนดโครงสร้าง และสถาปัตยกรรมของระบบที่ชัดเจน ตลอดจนวางแผนการพัฒนาและทดสอบที่รัดกุมครบถ้วน เพื่อไม่ให้เกิดความเสี่ยงเชิงระบบ รองรับผู้ใช้งานจำนวนมาก ไม่ให้ติดขัด หรือเกิดการใช้จ่ายที่ไม่สอดคล้องกับเงื่อนไขของโครงการ

>> 4. การบริหารจัดการความเสี่ยงต่อการรั่วไหลหรือทุจริต

หน่วยงานที่รับผิดชอบควรกำหนดกลไกลดความเสี่ยงต่อการรั่วไหลหรือทุจริต ในขั้นตอนต่าง ๆ อย่างเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะประเด็นที่ปัญหาพึงคาดหมายได้ตั้งแต่เริ่มแรก เช่น แนวทางการตรวจสอบรายได้และทรัพย์สินของผู้เข้าร่วมโครงการให้เป็นไปตามคุณสมบัติที่กำหนด การป้องกันการลงทะเบียนเป็นร้านค้าปลอม การกำหนดประเภทและขนาดของร้านค้าเพื่อรองรับเงื่อนไขการใช้จ่ายประเภทสินค้าต้องห้าม

ธปท. มีความเห็นว่า การพิจารณากรอบหลักการและ รายละเอียดต่าง ๆ ของโครงการเติมเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท เป็นโครงการมีรายละเอียดซับซ้อน ใช้งบประมาณจำนวนมาก กระทบต่อภาระการคลังในระยะยาว มีความเสี่ยงต่อการรั่วไหลหรือทุจริตในขั้นตอนต่าง ๆ จึงต้องรัดกุมอย่างเต็มที่ จึงเสนอให้คณะรัฐมนตรีมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทบทวนและนำเสนอข้อมูลเพิ่มเติม พร้อมทั้งจัดทำแนวทางหรือมาตรการแก้ไขประเด็นปัญหาหรือความเสี่ยงต่าง ๆ ให้เป็นรูปธรรมด้วย

TRENDING
ECONBIZ

‘ก.แรงงาน’ แย้ม!! จ่อขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 400 ทุกประเภทธุรกิจ คาด!! 1 ต.ค.67 สามารถประกาศภาพรวมทั้งประเทศได้

(25 เม.ย. 67) นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ยืนยันถึงการประกาศบิ๊กเซอร์ไพรส์ขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาท ว่า…

จากการประชุมของคณะกรรมการไตรภาคี เมื่อวันที่ 17 เมษายนที่ผ่านมา นายไพโรจน์ โชติกเสถียร ปลัดกระทรวงแรงงาน ในฐานะประธานคณะกรรมการไตรภาคี ได้หารือกับคณะกรรมการว่า ในปีนี้จะมีการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งจากการหารือมีนโยบายทําตามนโยบายของรัฐบาล คือจะมีการขึ้นค่าแรงที่ 400 บาท โดยในวันที่ 14 พฤษภาคมนี้ จะมีการประชุมคณะกรรมการอีกครั้งหนึ่ง และคาดว่าจะประกาศในวันที่ 1 ตุลาคม ซึ่งตนเองไม่สามารถเข้าไปแทรกแซงคณะกรรมการไตรภาคี เพราะเป็นคณะกรรมการที่เป็นอิสระในการพิจารณา

“ถามว่าเราประกาศเลยได้ไหมในวันที่ 1 พฤษภาคม เราสามารถประกาศให้รับรู้ได้ว่า เราจะดำเนินการในขั้นตอนต่อไป หลังจากนำร่องไปแล้ว ตรงนี้ถือเป็นนโยบายรัฐบาลที่ต้องทําตาม จากการหารือไม่น่าจะมีอะไรที่ขัดข้อง เพราะว่าส่วนหนึ่งในเรื่องค่าใช้จ่าย หรือสิ่งของที่เป็นอุปโภค บริโภค ก็มีการขึ้นไปล่วงหน้าแล้ว หลังจากที่มีการจัดตั้งรัฐบาลเรียบร้อย ผมคิดว่าถึงเวลาแล้วที่จะมีการประกาศค่าแรงอีกครั้งหนึ่ง หลังจากที่เรามีการนําร่องในวันที่ 13 เมษายนที่ผ่านมา วันที่ 1 ตุลาคม เราสามารถประกาศได้ในภาพรวมทั้งประเทศ 400 บาทในทุกประเภทธุรกิจ” นายพิพัฒน์ กล่าว

‘สุริยะ’ สั่ง ‘กทพ.’ เร่งหารือเอกชน แก้ปัญหาค่าทางด่วนแพง เล็งลดเหลือ 50 บาทตลอดสาย คาด!! ชงเข้า ครม. ส.ค. นี้

(25 เม.ย. 67) นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า เปิดเผยว่า ตามที่ในการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนและติดตามผลการดำเนินโครงการสำคัญตามนโยบายรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ครั้งที่ 1/2567 เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2567 ที่ผ่านมา ได้มอบหมายให้การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) และสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) ไปร่วมกันพิจารณาแก้ไขปัญหาจราจรติดขัดบนทางพิเศษ (ทางด่วน) ในพื้นที่ชั้นในกรุงเทพมหานคร (กทม.) รวมถึงการปรับปรุงระบบค่าผ่านทาง เพื่อลดค่าใช้จ่ายให้ประชาชนนั้น

ล่าสุด กทพ. ได้รายงานว่า ขณะนี้ กทพ. อยู่ระหว่างการหารือร่วมกับ สนข. และบริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM ในฐานะผู้รับสัญญาสัมปทานบริหารทางด่วน ในการพิจารณาปรับโครงสร้างลดอัตราค่าผ่านทางฯ เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายในการใช้ทางด่วนให้กับประชาชน โดยได้นำผลการศึกษาการแก้ปัญหาจราจรเมื่อปี 2565 มาศึกษาเพิ่มเติม ซึ่งในระยะแรกจะเริ่มดำเนินการใช้กับทางด่วนขั้นที่ 2 สายงามวงศ์วาน - พระราม 9 ระยะทางประมาณ 17 กิโลเมตร (กม.) เนื่องจากมีผู้ใช้ทางเป็นจำนวนมาก

สำหรับอัตราค่าผ่านทางใหม่ที่มีการปรับลดลงนั้น เริ่มต้นที่ 25 บาท และสูงสุดไม่เกิน 50 บาท จากในปัจจุบันมีอัตราอยู่ที่ 25 - 90 บาท กล่าวคือ จะมีการยกเลิกด่านประชาชื่น (ขาออก) และด่านอโศก (ขาออก) ซึ่งมีปริมาณรถหนาแน่น ซึ่งจากเดิมมีค่าผ่านทาง 25 บาท ทำให้เหลือ 0 บาท ส่วนด่านประชาชื่น (ขาเข้า) เดิมมีค่าผ่านทาง 65 บาท เหลือ 50 บาท ขณะที่ ด่านอโศก (ขาเข้า) เดิมมีค่าผ่านทาง 50 บาท เหลือ 25 บาท และด่านศรีนครินทร์ (ขาเข้า) จ่ายเงินทางขึ้น 25 บาท คาดว่าจะหารือและได้ข้อสรุปภายใน 2 เดือน ก่อนที่จะเข้าสู่กระบวนการขั้นตอนอื่น ๆ ต่อไป

ทั้งนี้ ในการปรับลดค่าผ่านทางดังกล่าว จะทำให้รายได้ของผู้รับสัมปทานลดลง ดังนั้น จากการหารือในเบื้องต้น กทพ. มีแนวทางขยายสัญญาสัมปทานให้กับ BEM ระบบทางด่วนขั้นที่ 1 และขั้นที่ 2 ที่จะสิ้นสุดสัญญาในวันที่ 30 ตุลาคม 2578 พร้อมกับการพิจารณาแบ่งสัดส่วนรายได้ โดย กทพ. จะมีรายได้ลดลง เพื่อนำไปชดเชยให้กับผู้รับสัมปทานในการลดค่าผ่านทาง จากเดิม กทพ. มีสัดส่วน 60% ผู้รับสัมปทาน 40% ขณะเดียวกัน BEM จะต้องรับภาระในการลงทุนก่อสร้างโครงการทางพิเศษยกระดับชั้นที่ 2 สายงามวงศ์วาน-พระราม 9 (Double Deck) อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่า การปรับลดค่าผ่านทางในครั้งนี้ จะเป็นประโยชน์ต่อประชาชนเป็นอย่างมาก

"กระทรวงคมนาคม มีเรื่องใหญ่ที่อยากจะทำให้เห็นผลโดยเร็ว คือ การแก้ไขปัญหาค่าทางด่วนแพง เพราะตอนนี้ มีประชานที่ใช้ทางด่วนช่วงยาว มีระยะทางไกล ต้องจ่ายแพงถึง 100 กว่าบาท ผมเลยให้ กทพ. และ สนข. ไปหารือกับเอกชน เพื่อลดค่าทางด่วน ให้เหลือสูงสุดไม่เกิน 50 บาท หรือ 50 บาทตลอดสาย เพื่อเป็นการลดภาระค่าใช้ทางด่วนให้กับประชาชน" นายสุริยะ กล่าวและว่า

สำหรับขั้นตอนหลังจากนี้ เมื่อ กทพ. หารือร่วมกับ สนข. และ BEM จนได้ข้อสรุปภายใน 2 เดือนนับจากนี้ กทพ. จะเสนอเรื่องให้คณะกรรมการ (บอร์ด) กทพ. พิจารณาเห็นชอบแนวทางการปรับลดค่าผ่านทาง รวมทั้งการขยายสัญญาสัมปทาน, การปรับสัดส่วนรายได้ และ BEM เป็นผู้ลงทุนโครงการ Double Deck ก่อนจะเสนอไปยังคณะกรรมการ มาตรา 43 ตามพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ว่าด้วยการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ.2562 พิจารณาเห็นชอบรายละเอียดการแก้ไขสัญญาฯ

ทั้งนี้ เมื่อผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการมาตรา 43 แล้วจะส่งร่างสัญญา ที่มีการปรับแก้ไขแล้วต่อไปยังสำนักงานอัยการสูงสุดเพื่อตรวจร่างสัญญา จากนั้นจะเสนอให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมพิจารณาเห็นชอบการแก้ไขสัญญา และเสนอไปยังคณะกรรมการร่วมทุนรัฐและเอกชน (PPP) เห็นชอบ ก่อนเสนอไปคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาเห็นชอบในเดือนสิงหาคม 2567 หากมีความคืบหน้าจะแจ้งให้ประชาชนทราบต่อไป

นอกจากนี้ กระทรวงคมนาคมยังได้มีนโยบายให้ส่งเสริมให้มีการใช้งานบัตร Easy Pass เพิ่มมากขึ้น โดยสั่งการให้ กทพ. เพิ่มช่องทางการจำหน่าย และการเติมเงิน Easy Pass ให้สะดวกขึ้น อาทิ การจำหน่ายผ่านร้านสะดวกซื้อ ขณะเดียวกัน จะมีการอำนวยความสะดวกให้กับผู้ใช้ Easy Pass ให้ได้รับความสะดวกสบายและรวดเร็วในการเดินทาง โดยการยกไม้กั้นออก และจะมีการเพิ่มช่อง Easy pass มากขึ้น

‘ปตท.’ รวมพลังผู้บริหาร-พนักงาน ‘ปรับภูมิทัศน์ @คลองเปรมประชากร’ หวังเพิ่มพื้นที่สีเขียวให้คนเมือง พร้อมถวายเป็นพระราชกุศลแด่ ในหลวง ร.10

เมื่อวานนี้ (24 เม.ย.67) บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) Kick-off ‘โครงการปรับภูมิทัศน์ @ คลองเปรมประชากร’ เพื่อร่วมกันสร้างพื้นที่สีเขียว ถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 72 พรรษา โดยมีนายฉัตรชัย พรหมเลิศ ประธานกรรมการ นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) พร้อมด้วยคณะกรรมการ ผู้บริหารและพนักงาน ปตท. กว่า 300 คน ร่วมปลูกต้นไม้ ณ ถนนกำแพงเพชร 6 แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กรุงเทพมหานคร

นายฉัตรชัย กล่าวว่า ปตท. ได้จัดสรรพื้นที่ติดคลองเปรมประชากรจำนวน 10 ไร่ ในโครงการพัฒนาพื้นที่เพื่อปรับปรุงภูมิทัศน์ ถนนกำแพงเพชร 6 ซึ่งพื้นที่นี้มีจุดเด่นในการเข้าถึงได้ 3 เส้นทาง คือ ทางล้อ จากถนนวิภาวดีรังสิต ทางราง จากสถานีรถไฟสายสีแดง-ทุ่งสองห้อง และทางเรือ ถึงคลองเปรมประชากร โดยพื้นที่สีเขียวแห่งนี้ออกแบบให้เป็นสวนเฉลิมพระเกียรติฯ ที่บอกเล่าถึงพระมหากรุณาธิคุณของในหลวงรัชกาลที่ 10 ต่อประชาชน และเพื่อสืบสานประวัติศาสตร์พื้นที่ ภูมิทัศน์วัฒนธรรม 

นายอรรถพล กล่าวเพิ่มเติมว่า ปตท. ตั้งใจให้พื้นที่แห่งนี้สร้างความ สงบ ร่มเย็นให้กับประชาชนในพื้นที่ รวมถึงสร้างการเติบโตให้เป็นที่พักผ่อนหย่อนใจของคนเมือง โดยคำนึงถึงระบบนิเวศที่ยั่งยืน พร้อมยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชน โดยวันนี้ได้จัดเตรียมต้นไม้ใหญ่และกล้าไม้ อาทิ ต้นพะยูง ต้นอโศกศรียะลา ต้นปีบ ต้นประดู่ป่า ต้นรวงผึ้ง ต้นโพธิ์ ฯลฯ รวมกว่า 300 ต้น สลับกับไม้พุ่มขนาดกลางรวมพันธุ์ไม้กว่า 54 ชนิด มาปลูกเพื่อเพิ่มพื้นที่สีเขียว โดยแนวทางการปลูกต้นไม้จะเป็นการจัดสรรโครงสร้างของต้นไม้ตามธรรมชาติ อนุรักษ์ต้นไม้เดิมในพื้นที่ และปลูกเพิ่มเติมตามแนวคิดของการใช้ต้นไม้ในโครงการ คือ ต้นไม้เฉลิมพระเกียรติฯ ต้นไม้พื้นถิ่นลุ่มแม่น้ำภาคกลาง ต้นไม้สำหรับพื้นที่แก้มลิงชีวภาพ (Bioretention Ponds) และต้นไม้เพื่อสิ่งแวดล้อม (ไม้กรองฝุ่น - พืชกรองน้ำ)

"ตลอดระยะเวลา 45 ปี ปตท. ได้ให้ความสำคัญกับการดูแลสังคม ชุมชนและสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่องผ่านการดำเนินงานในทุกมิติ ควบคู่กับการดูแลผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอย่างสมดุล โดยมุ่งพัฒนาธุรกิจสู่สังคมคาร์บอนต่ำและเป็นองค์กรที่ดีของสังคม พร้อมจุดพลังและยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทย ให้เติบโตเคียงข้างกันไปอย่างมั่นคงและยั่งยืน" นายอรรถพล กล่าว

LITE

‘เสก โลโซ’ แนะพี่น้องร่วมวงการ อย่าหลงระเริง หาเงินทองมาได้ อย่าลืมเก็บออมไว้ใช้ตอนแก่

เมื่อวานนี้ (25 เม.ย. 67) ‘เสก โลโซ’ ร็อกเกอร์ชื่อดัง ได้โพสต์เฟซบุ๊กถึงเพื่อนร่วมอาชีพ ระบุว่า…

“เป็นนักร้อง นักดนตรี นักแสดง เมื่อตอนมีชื่อเสียงหาเงินได้ต้องเก็บออมไว้ใช้ตอนแก่ เก็บไว้รักษาตัวตอนเจ็บป่วย อย่าหลงระเริงกับชื่อเสียงเงินทองนะทุกคน ด้วยรักและห่วงใยครับ…”

โดยมีคนเข้าไปกดไลก์ชื่นชมจำนวนมาก พร้อมแสดงความคิดเห็นอย่างต่อเนื่อง เช่นว่า

- ไอดอลมาตลอดค่ะ
- เฮียผ่านมาแล้วจึงบอกต่อ
- จริงที่สุดค่ะ
- เอาประสบการณ์ตัวเองมาสอนน้องๆ ดีมากเลยเฮียเสก

- จริงครับยิ่งทุกวันนี้หาเงินยากมากครับ
- จริง เห็นมามากมายแล้ว
- ทุกอาชีพค่ะยามมีต้องเก็บออมตนเป็นที่พึ่งแห่งตนค่ะ

- เฮียพูดถูก…คำพูดเฮียใช้ได้กับทุกอาชีพและทุกคน…ตอนมีแรงทำงาน เก็บเงินไปเถอะ…อย่าไปคิดว่าเงินตราบใดที่ยังไม่ตายก็หาใหม่ได้…เพราะเราไม่รู้ว่าความเจ็บป่วยจะมาหาเราเมื่อไหร่และรุนแรงแค่ไหน…ใช้ชีวิตแบบไม่ประมาทดีที่สุด มีมากเก็บมาก มีน้อยเก็บน้อย…ขอให้ได้เก็บ

- เงินทองได้มารักษาอย่างดี ชื่อเสียงที่มีหอมกรุ่นกาย หากแต่เราตาย..หาได้ไปเพื่อนเอ๋ย

26 เมษายน พ.ศ. 2431 ‘ในหลวง ร.5’ เสด็จฯ ประกอบพิธีเปิด ‘โรงพยาบาลศิริราช’ ทรงหวังให้ประชาชนมีที่พึ่งพิง ในยามโรคภัยมาเบียดเบียน

ย้อนกลับไปในปี พ.ศ. 2424 อหิวาตกโรคระบาดใหญ่ทั่วโลก (พ.ศ. 2424-2439) รวมทั้งไทย พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าจาตุรนต์รัศมี กรมพระจักรพรรดิพงษ์ พร้อมพระบรมวงศานุวงศ์กับข้าราชการอื่นรวม 48 คน จัดตั้ง ‘โรงรักษาผู้ป่วย’ หรือ ‘โรงพยาบาลชั่วคราว’ ขึ้นเพื่อรักษาผู้ป่วยในกรุงเทพฯ และได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าพระราชทานเหรียญเงินเทพดาถือพวงมาลัย เป็นที่ระลึกแก่ผู้ที่ตั้งโรงรักษาคนเจ็บ

ต่อมาเมื่อการระบาดของโรคยุติลง โรงพยาบาลชั่วคราวต่างก็ปิดทำการ หากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงตระหนักถึงความสำคัญของโรงพยาบาลที่จะยังประโยชน์เมื่อประชาชนเจ็บป่วยบำบัดทุกข์ ทั้งนี้ ในวันที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2429 จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งคณะกรรมการจัดสร้างโรงพยาบาล ซึ่งประกอบด้วย…

1.พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นสิริธัชสังกาศ 2. พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นดำรงราชานุภาพ 3. พระเจ้าน้องยาเธอ พระองค์เจ้าศรีเสาวภางค์ 4. พระเจ้าน้องยาเธอ พระองค์เจ้าวัฒนานุวงศ์  5.พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าสายสนิทวงศ์, 6.พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าปฤษฏางค์ 7. พระยาโชฏึกราชเศรษฐี (เถียร โชติกเสถียร) 8. หลวงสิทธินายเวร (บุศย์ เพ็ญกุล) 9. ดอกเตอร์ ปีเตอร์ เคาแวน

ทั้งนี้ คณะกรรมการประชุมกันและตกลงกันว่า จะจัดสร้างโรงพยาบาลขึ้นที่ฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยา ที่บริเวณพระราชวังบวรสถานพิมุข หรือ วังหลัง เพราะขณะนั้นได้เป็นที่รกร้างว่างเปล่า และมีต้นไม้ร่มเย็น เหมาะสมสำหรับเป็นสถานที่รักษาพยาบาลผู้ป่วย

ระหว่างที่เตรียมการก่อสร้างโรงพยาบาลนั้น สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าศิริราชกกุธภัณฑ์ฯ พระราชโอรสอันประสูติจากสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ ได้ประชวรโรคบิดสิ้นพระชนม์ลงในวันที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2430 ขณะมีพระชันษาเพียง 1 ปี 7 เดือน ทำให้ความเศร้าโศกมาสู่สมเด็จพระบรมราชชนกชนนีเป็นอย่างยิ่ง จึงมีพระราชดําริถึงความทุกข์ ทรมานของประชาชนทั่วไปซึ่งเจ็บไข้ได้ป่วยและไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง ต้องล้มตายไปเป็นจํานวนมากทุกปี

ในงานพระราชทานเพลิงพระศพ สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอพระองค์นั้น จึงได้โปรดพระราชทานสิ่งก่อสร้างต่าง ๆ เนื่องในงานพระเมรุ รวมทั้งเครื่องใช้ เช่น ตู้ โต๊ะ เตียง เก้าอี้ ที่ใช้แต่ในวันลักพระศพให้แก่โรงพยาบาลวังหลังที่กําลังก่อสร้าง พร้อมทั้งพระราชทานเงินส่วนพระองค์ของสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าศิริราชกกุธภัณฑ์ จํานวน 50,000 บาท มาสมทบสร้างถาวรวัตถุต่าง ๆ ภายในโรงพยาบาลด้วย

ในระยะแรกคณะกรรมการจัดสร้างโรงพยาบาล ได้จัดสร้างเรือนพักผู้ป่วยขึ้น 6 หลัง และเมื่อวันที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2431 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ ทรงพระกรุณาเสด็จพระราชดำเนินทรงประกอบพิธีเปิด และพระราชทานนามว่า ‘โรงศิริราชพยาบาล’ เพื่อเป็นอนุสรณ์ถึงสมเด็จฯ เจ้าฟ้าศิริราชกกุธภัณฑ์ หรือที่ประชาชนขณะนั้นนิยมเรียกว่า ‘โรงพยาบาลวังหลัง’

อย่างไรก็ตาม ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นโรงพยาบาลศิริราช ที่ให้บริการประชาชนอย่างเท่าเทียมตามพระบรมราชปณิธานมาจนปัจจุบันนี้

‘นก สินจัย’ เคลียร์ดรามา คอมเมนต์ด้านลบ ‘ดวงใจเทวพรหม’ เหตุแก่เกินบท ‘เพียงขวัญ’ รุ่นพ่อแม่ รับ!! บั่นทอนแต่ต้องเข้มแข็ง

(25 เม.ย.67) ว่างงานไปนานถึง 4 ปี แต่บทจะมีก็มีผลงานติด ๆ กัน โดยในปีนี้ 2567 ‘นก สินจัย เปล่งพานิช’ ที่มาร่วมบวงสรวงภาพยนตร์ นาคบรรพ์ ที่เมเจอร์รัชโยธิน ก็เผยว่ามีทั้งภาพยนตร์ ละครถึง 3 เรื่องด้วยกัน ซึ่งตนก็แฮปปี้มาก ก่อนขอเคลียร์ดรามา ถูกวิจารณ์แหลก ไม่เหมาะกับบท ‘เพียงขวัญ’ รุ่นพ่อแม่ในซีรีส์ดวงใจเทวพรหม เพราะอายุมากเกินที่จะเป็นสะใภ้คนเล็ก

“ว่างไป 4 ปีนะคะ ไม่มีงานเลย ก็มีปีนี้ที่มีทั้งละคร และก็หนัง เป็นงานที่มาปีนี้หมดเลย และเปิดกล้องปีนี้ทั้งหมดก็มีละคร 2 เรื่อง มีภาพยนตร์ 1 เรื่อง

สำหรับวิธีการเลือกรับงาน เราก็ดูบทว่าเราเหมาะสมไหม ช่วงเวลาของการทำงานเป็นยังไง ส่วนใหญ่ก็เป็นทีมที่เรารู้จัก อย่างละครก็เป็นของช่อง ONE พี่ปุ๊ย เป็นผู้จัด พี่เหมียว เป็นผู้กำกับ เราแฮปปี้มากกับการที่เราได้กลับมาเล่นละครกับช่อง ONE อย่างหนังเรื่องนี้ก็คุ้นเคยกัน แล้วก็เป็นทีมงานของหม่อมน้อย (หม่อมหลวงพันธุ์เทวนพ เทวกุล) ทั้งหมดเลยค่ะ ตั้มก็เป็นผู้ช่วยของพี่น้อยมาเกือบ 20 ปี ยังบอกตั้มเลยว่า ต้องลุกขึ้นมากำกับได้แล้ว พอเขาติดต่อมา ก็ดีใจที่เขานึกถึงเรา”

>> ไม่บล็อกคนด่า ไม่อยากเก็บดรามาเป็นอารมณ์

“เป็นธรรมดา นกว่าป้าแจ๋ว (ยุทธนา ลอพันธุ์ไพบูลย์) เข้าไปตอบใน x (ทวิตเตอร์) อยู่ตลอดเวลา อัปเดตเรื่องราวของละครอยู่ตลอดเวลา นกว่ามันขึ้นอยู่กับความสนใจของแต่ละคนมากกว่า ว่าแบบไหน เหมาะไม่เหมาะ เชื่อว่าทุกคนอยากทำงานออกมาให้ดีที่สุด ก็เข้าไปเช็กฟีดแบ็กบ้าง อ่านที่ดีๆ ค่ะ อันที่ไม่ดี อันที่ไม่มีเหตุผลเลย เราก็จะข้ามไป ไม่อยากเอามาเป็นทุกข์ แต่ก็ไม่บล็อกนะ เราเลี่ยงอ่านอยู่แล้ว แต่ก็จะอ่านบ้างที่มันมีผลต่อการทำงาน คอมเมนต์นี้มันมีส่วนในการสร้างสรรค์งานเราก็จะอ่าน เอากลับมาปรับปรุง

บางอันที่เรารู้ว่าเข้ามาเพื่อจุดประสงค์อะไร ไม่ได้สร้างสิ่งดี ๆ ให้กับคนทำงาน เราก็จะข้าม ๆ ไป ส่วนใหญ่จะไม่ค่อยอ่าน จะมีคนมาบอก หรือแคปส่งมาให้มากกว่า เราก็คงต้องเลือกเอาค่ะ

ป้าแจ๋วก็คอยอัปเดตตลอด แกก็จะคอยเข้าไปอัปเดตใน x ป้าแจ๋วทันสมัยมาก เขาจะคอยอัปเดตว่า ขวัญฤทัย ในแต่ละวีกมีอะไรบ้าง เผื่อใครมีคำถาม ซึ่งมันดี ทำให้เราใกล้ชิดกับผู้ชมมากขึ้น หรือว่าผู้ชมมีปัญหา หรือคำถามเรื่องต่าง ๆ ป้าแจ๋วก็จะเข้าไปตอบให้ มันเป็นละครที่ทุกคนจับตา ป้าแจ๋วก็คอยจัดการให้หมด มีทั้งขอบคุณ ตอบกลับ กัดเล็ก ๆ ซึ่งป้าแจ๋วทำได้คนเดียว ส่วนเราก็รอฟังค่ะ ป้าแจ๋วจัดการไปเลย”

>> รับบั่นทอนนิดหน่อย แต่เข้าใจ ไม่มีอะไรเพอร์เฟกต์ วิจารณ์มีเหตุผล ตนก็ยอมรับ

“มีผลอยู่แล้วนิด ๆ หน่อย ๆ สุดท้ายแล้วมันก็ต้องเข้มแข็ง มันไม่มีทางที่ทุกอย่างจะเพอร์เฟกต์หรือว่าถูกใจทุกคน นกเข้าใจ แต่ว่าอันไหนมีเหตุมีผลเราก็ยอมรับ แต่อันไหนที่แบบจะด่าเพื่อ เราก็ข้าม ๆ ไป เรารู้ว่าทุกคนอ่อนไหว คนทำงานกว่าจะทำละครมาเรื่องหนึ่งมันไม่ได้ทำง่าย ๆ เขาต้องคิดถึงเหตุผลว่าทำไมถึงทำแบบนี้ ถึงได้เลือกนักแสดงคนนี้ ดังนั้นต้องเลือกที่จะฟัง และเลือกที่จะบอกเราด้วยค่ะ”

PODCAST

‘ผู้นำ’ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา | THE STATES TIMES STORY ตอนพิเศษ

เรื่องราวจากหนังสือ ‘ผู้นำ’ บรรณธิการโดย อัศวินโต๊ะกลม เป็นหนังสือที่รวบรวมผลงานและการทำงานของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะนายกรัฐมนตรี คนที่ 29 ของไทย ตลอดกว่า 8 ปีที่ผ่านมา เป็นผู้พลิกโฉมประเทศไทยไปตลอดกาล ให้สามารถโลดแล่นต่อไปได้อย่างไม่อายใคร นอกจากนี้ยังเป็นนายกรัฐมนตรี ‘สองแผ่นดิน’ ที่มีความโดดเด่นในหลายเรื่อง โดยเฉพาะความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ความยึดมั่นในผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนเป็นสำคัญ

💙ผู้นำ ตอนที่ 1 : ผู้นำช่วงวิกฤติ

💙ผู้นำ ตอนที่ 2 : สร้างคน สร้างพลเมืองดี

💙ผู้นำ ตอนที่ 3 : ประชาชน ประเทศชาติ คือหัวใจของ ‘ประชารัฐ’

💙ผู้นำ ตอนที่ 4 : รู้เท่าทัน ทำทันที เห็นผลเป็นรูปธรรม

💙ผู้นำ ตอนที่ 5 : ‘ลุงตู่’ คือหมอใหญ่ นำทีมผ่าตัดเศรษฐกิจไทย

💙ผู้นำ ตอนที่ 6 : ‘กลยุทธ์ 3 แกน’ สร้างอนาคตไทยให้ก้าวหน้า

💙ผู้นำ ตอนที่ 7 : ‘ลุงตู่’ สุดยอด ‘ผู้นำ’ พาประเทศฝ่าฟันทุกวิกฤต

💙ผู้นำ ตอนที่ 8 : ก้าวข้าม ‘วิกฤตซ้อนวิกฤต’ พาประเทศมุ่งสู่ ‘โอกาส’

💙ผู้นำ ตอนที่ 9 : ‘ผู้นำ’ ยุคดิจิทัล พาไทยเข้าสู่ยุค 4.0

💙ผู้นำ ตอนที่ 10 : 'ลุงตู่' ผู้นำที่ฉันอยาก 'เดินตาม'

 

 

 

‘มาเหนือเมฆ’ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา | THE STATES TIMES STORY ตอนพิเศษ

หนังสือ 'มาเหนือเมฆ' เรื่องราวบนเส้นทางการเมืองและผลงานของ 'ลุงตู่' พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ทหารเสือราชินีผู้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 29 ของประเทศไทย 

รวบรวมบทความที่นักคิด นักวิเคราะห์ นักเขียนรับเชิญหลายท่านมาช่วยกันเติมแต่ง ได้แก่ คุณรุ่งเรือง ปรีชากุล อดีตบรรณาธิการบริหารสยามรัฐสัปดาหวิจารณ์, คุณทิวา สาระจูฑะ บรรณาธิการนิตยสารสีสัน, รศ.หริรักษ์ สูตะบุตร อดีตรองอธิการบดีฝ่ายบริหารบุคคล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, คุณนิติพงษ์ ห่อนาค ศิลปินและนักแต่งเพลง และ คุณ พ.สิทธิสถิตย์ อดีตบรรณาธิการหนังสือพิมพ์/นิตยสาร

บรรณาธิการโดย คำรณ ปราโมช ณ อยุธยา

💙ตอนที่ 1 : ‘ลุงตู่’ เป็นมากกว่าผู้นำ

💙ตอนที่ 2 : ชีวิตนี้ ขอทำเพื่อชาติและประชาชน

💙 ตอนที่ 3 : ‘ลุงตู่’ ฮีโร่ผู้กอบกู้วิกฤต

💙ตอนที่ 4 : ปณิธานแน่วแน่ “ประเทศไทยต้องดีกว่าเดิม”

💙ตอนที่ 5 : ‘ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี’ พาไทย ‘มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน’

💙ตอนที่ 6 : ‘EEC’ หัวใจสำคัญ ยุคไทยแลนด์ 4.0

💙ตอนที่ 7 : พัฒนา ‘ระบบคมนาคม’ เสริมแกร่งไทยทุกมิติ

💙ตอนที่ 8 : ‘เทคโนโลยี-ดิจิทัล’ กุญแจสำคัญขับเคลื่อน ‘เศรษฐกิจไทย’

💙ตอนที่ 9 : ฟื้นสัมพันธ์ ‘ไทย-ซาอุฯ’ เริ่มทศวรรษแห่งความร่วมมือ

💙ตอนที่ 10 : ผลงานชิ้นโบแดง เจ้าภาพ ‘เอเปก 2022’

 

‘บุญผ่อง สิริเวชชะพันธ์’ วีรบุรุษสงครามโลก | THE STATES TIMES Story EP.143

‘บุญผ่อง สิริเวชชะพันธ์’ ผู้ได้รับการยกย่องจากนานาชาติ ในฐานะ ‘วีรบุรุษ’ ผู้ปิดทองหลังพระและมีมนุษยธรรม จากวีรกรรมที่ได้ช่วยเหลือเชลยศึกที่ถูกเกณฑ์มาสร้างเส้นทางรถไฟสายมรณะ ที่จังหวัดกาญจนบุรี ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 

ทว่าเรื่องราวของ ‘บุญผ่อง สิริเวชชะพันธ์’ กลับไม่ถูกเป็นที่พูดถึงในประเทศไทยอย่างกว้างขวาง วันนี้ THE STATES TIMES Story จึงได้หยิบยกเรื่องราว และความกล้าหาญของวีรบุรุษท่านนี้ มาบอกเล่าให้ทุกท่านได้รับทราบกัน จะเป็นอย่างไร เชิญรับฟัง…

VIDEO

ป้าหมาย ‘ท่องเที่ยวไทยเชิงคุณภาพ’ ผ่านมุมมอง ‘วีระศักดิ์ โควสุรัตน์’ | CONTRIBUTOR EP.30

เมืองไทยมีดี มีจุดขายที่งดงามในภาคการท่องเที่ยว แต่จะพอใจเพียงเท่านี้ พอใจเพียงจำนวนนักท่องเที่ยวและรายได้ลูกเดียว อาจจะไม่ยั่งยืน

มิติใหม่ของการท่องเที่ยวไทย ต้องปรับประยุกต์ เพื่อสร้างการท่องเที่ยวเชิงคุณภาพ
กระตุ้นให้เกิดความหลากหลายในแต่ละเขตแดน เมือง จังหวัด ที่มีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง

แต่สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นได้ ต้องร้อยห่วงโซ่ของ ‘ความยิ้มแย้ม-ความยืดหยุ่น-ไม่หย่อนยาน’ 
รวมถึงปรับแนวทางสู่ความยั่งยืน ด้วยการพัฒนาระบบการท่องเที่ยวใต้วิธีคิดที่ทันโลก

เพราะนี่คือวาระสำคัญของอนาคตการท่องเที่ยวไทยในวันข้างหน้า 
ในวันที่ ‘หินก้อนใหญ่’ ยังกดทับ ‘หญ้าสีเขียว’ ในบางพื้นที่อยู่

ปลดล็อกร่างทอง ‘ท่องเที่ยวไทยเชิงคุณภาพ’ ไปด้วยกันกับ Contributor EP นี้ กับผู้ที่เข้าใจระบบนิเวศการท่องเที่ยวยั่งยืนแบบถ่องแท้ได้จาก... คุณวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ สมาชิกวุฒิสภา รองประธานกรรมาธิการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา

ถึงเวลาสร้าง ‘ไทย’ ให้เติบใหญ่ในยุคดิจิทัล l รศ.ดร.ดนุวัศ สาคริก

ความ ‘เท่า’ ที่ยากจะ ‘เทียม’ หากระบบการศึกษาไทยยังย่ำอยู่กับที่และทิศทางไทยยังคงหลงอยู่กับนโยบาย

ประชานิยมที่คอยกระตุกกระตุ้นเศรษฐกิจได้เพียงแค่ครั้งคราว

กลับกันประเทศไทย ในวันที่เริ่มตั้งตัว ต้องหาทางตั้งทรงแบบยกแผงต้องแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นที่จะผลักดันอนาคตชาติเริ่มตั้งแต่การปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานของประเทศในทุกภาคส่วนระบบการเมือง เศรษฐกิจ การศึกษา และอื่นๆ ให้เกิดรากอันแข็งแกร่ง เพื่อเป็นฐานรองรับให้ ‘คนในชาติ’ กลายเป็นบุคลากรที่มีคุณภาพ

Contributor EP นี้ ขอกระตุกมุมคิดคนไทยให้ร่วมมองความเจริญแห่งอนาคตที่ถูกทิศผ่านมุมคิดของ... 
รศ.ดร.ดนุวัศ สาคริก รองคณบดีฝ่ายวิชาการ คณะรัฐประศาสนศาสตร์ สถาบันบัณฑิต พัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) NIDA ที่ขอเป็นตัวแทนพูดดังๆ ถึงทุกภาคส่วน ว่า…

ถึงเวลาแล้วที่ ‘ประเทศไทย’ ต้องปฏิรูป!!

ผู้พิทักษ์ ‘สันติ’ ราษฎร์ พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ | CONTRIBUTOR EP.28

ค่านิยม ‘ท้าทาย’ กฎหมายของคนในยุคนี้ ยุคที่ใคร ‘แหก’ กฎได้มากเท่าไร ก็จะยิ่งยกย่องกันแบบผิดๆ ว่า 'เจ๋ง' และดูเก่งในสายตากลุ่มก้อนความคิดเดียวกัน ... เริ่มลุกลาม!!

แต่เมื่อ 'กฎหมาย' คือ กฎที่คนส่วนใหญ่ ทำตาม!!

ผู้ใด 'ท้าทาย' ก็ต้องพร้อมรับผิดชอบในทุกการกระทำ

และนี่คือเรื่องราวของอีกหนึ่งผู้บังคับใช้กฎหมาย ที่อยากฝากบอกถึง 'นักแหกกฎ' ให้ปลดความคิดสุดระห่ำออกไปจากระบบคิด และจงเชื่อเถอะว่าชีวิตของพวกคุณจะไม่มีวันถูกหล่อเลี้ยงได้อย่างยั่งยืนผ่านคำยกย่องผิดๆ

พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผู้บัญชาการสำนักงานกฎหมายและคดี 

ผู้พิทักษ์ ‘สันติ’ ราษฎร์

Y WORLD

ซักด่วน !!! ใช้ผ้าขนหนูเกิน 3 วัน เหมือนเช็ดตัวด้วยโถส้วม !!! | Y WORLD EP.75

Y WORLD ตอนนี้ แค่หัวข้อก็อึ้งกันแล้วค่ะ แค่ไม่ได้ซักผ้าขนหนู 3 วัน ก็สกปรกขนาดนี้เลยหรอ ? ส่งผลอย่างไรบ้าง และควรแก้ยังไง คลิปนี้มีคำตอบค่ะ 

‘Roman Charity’ ภาพวาดที่ไม่ได้ลามก แต่คือความกตัญญู | Y WORLD EP.74

Y WORLD ตอนนี้พาคุณไปชมภาพวาดหญิงสาวกำลังป้อน ‘นม’ ของตัวเองให้ชายชรา ที่บอกเลยว่า 'เห็นครั้งแรก ก็คิดดีไม่ได้จริงๆ' แต่แท้จริงแล้ว ภาพนี้ไม่ได้เป็นสื่อลามกอนาจาร แต่คือการแสดงความกตัญญู เรื่องราวจะเป็นอย่างไรนั้น ไปติดตามชมกันได้เลยค่ะ

ปลิดชีพ "ชาย" ขู่ฆ่า "โจ ไบเดน" แม้ไม่มี112 | Y WORLD EP.73

Y WORLD ตอนนี้จะพาคุณไปฟังเรื่องราวการ "ปกป้องผู้นำ" ของตนขั้นสุดแบบสหรัฐอเมริกา ในกรณีที่ FBI ปลิดชีพ 'ชาย’ ขู่ฆ่า 'โจ ไบเดน' แม้สหรัฐอเมริกาจะไม่มีกฎหมายมาตรา 112 แบบประเทศไทย แต่ก็ต้องยอมรับว่า หากใครมาหมิ่นหรือคิดร้ายผู้นำในประเทศของเขา โดนดีทันที เรื่องราวจะเป็นอย่างไร ไปรับชมกันเลย

SPECIAL

ธรรมะประจำวันอาทิตย์ที่ 21 เมษายน 2567

‘ท่านพ่อเฟื่อง โชติโก’ องค์ท่านได้รับการฝึกฝนอบรมภาวนาจากท่านพ่อลี ธัมมธโร จนเกิดเป็นหลักจิตหลักใจ และมั่นใจในคุณของพระพุทธศาสนา ท่านพ่อเฟื่อง และหลวงปู่เจี๊ยะ จุนฺโท จึงได้เดินทางไปฝากตัวเป็นศิษย์ หลวงปู่ใหญ่มั่น ภูริทัตโต ท่านพ่อเฟื่อง ท่านเป็นพระสมถะ มักน้อย สันโดษ ไม่ยึดติดในสมณศักดิ์ และลาภยศ รักการเดินธุดงค์เป็นชีวิตจิตใจ เป็นพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เป็นที่ควรรำลึกน้อมเป็นสังฆานุสสติอย่างยิ่ง

หนึ่งในคำสอนของท่านก็คือ “หูเราก็มี 2 หู ปากก็มีปากเดียว แสดงว่าเราต้องฟังให้มาก ต้องพูดให้น้อย”

ธรรมะประจำวันอาทิตย์ที่ 14 เม.ย. 2567

เมื่อวันที่ 11 เม.ย. 67 เพจเฟซบุ๊ก ‘บุญนิยมทีวี’ ซึ่งเป็นสื่อหลักของ สันติอโศก ได้โพสต์ข้อความระบุว่า “แจ้งข่าว พ่อครูสมณะโพธิรักษ์ มรณภาพ ด้วยโรคชรา เวลา 06.40.10 น. วันพฤหัสบดี 11 เมษายน 2567” สิริอายุ 89 ปี 10 เดือน 6 วัน 

ทั้งนี้ ‘สมณะโพธิรักษ์’ เป็นผู้ก่อตั้งและผู้นำทางจิตวิญญาณแห่งสำนักสันติอโศก เป็นผู้ก่อกำเนิดคณะกลุ่มชาวอโศก ก่อตั้งชุมชนบุญนิยม ‘พุทธสถานสันติอโศก’ ย่านนวมินทร์ ก่อนจะขยายชุมชนบุญนิยม-เครือข่ายพึ่งตนเอง ในอีกหลายจังหวัด รวมทั้งราชธานีอโศก ที่อุบลราชธานี

สมณะโพธิรักษ์เข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี ด้วยอาการปอดอักเสบ กระทั่งออกจากโรงพยาบาล กลับราชธานีอโศก จ.อุบลราชธานี เมื่อต้นเดือน ก.พ. 2567 ที่ผ่านมา ก่อนจะมีอาการทรุดลงและต้องกลับเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลอีกครั้ง กระทั่งมรณภาพอย่างสงบ

สำหรับประวัติสมณะโพธิรักษ์ มีชื่อเดิมว่า มงคล รักพงษ์ เกิดวันที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2477 ที่จังหวัดศรีสะเกษ

ในวัยเด็กอาศัยอยู่กับมารดาที่จังหวัดอุบลราชธานี ภายหลังได้เข้ามาศึกษาชั้นมัธยมที่กรุงเทพฯ เมื่อเรียนจบมัธยมปลายก็ได้เข้าศึกษาต่อ ที่โรงเรียนเพาะช่าง แผนกวิจิตรศิลป์ และได้เปลี่ยนชื่อเป็น ‘รัก รักพงษ์’

ขณะที่กำลังเรียนอยู่ได้เข้าทำงานที่ บริษัท ไทยโทรทัศน์ จำกัด เป็นผู้จัดรายการ เป็นรายการเกี่ยวกับเด็ก, การศึกษา และวิชาการ นอกจากงานทางสถานีโทรทัศน์แล้ว ก็ยังทำงานเป็น ครูพิเศษ สอนศิลปะตามโรงเรียน นักแต่งเพลง และทำงานเป็นเด็กส่งหนังสือพิมพ์ไปด้วย

สมัยยังทำงานในวงการบันเทิง ท่านมีผลงานเพลงที่แต่งในนาม ‘รัก รักพงษ์’ ออกมาประสบความสำเร็จ เป็นเพลงยอดนิยมจำนวนมาก รวมทั้งเพลง ‘ผู้แพ้’ ‘กระต่ายเพ้อ’ และเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่อง ‘โทน’ ซึ่งเป็นภาพยนตร์ทำเงิน ออกฉายในปี พ.ศ. 2513 เพลงฮิตจากภาพยนตร์เรื่องนี้ที่ประพันธ์โดย ‘รัก รักพงษ์’ ได้แก่ ‘ฟ้าต่ำแผ่นดินสูง’ และ ‘ชื่นรัก’ เป็นต้น

ต่อมา ท่านได้หันมาศึกษา พุทธศาสนาและได้อุปสมบทในคณะธรรมยุติกนิกาย ณ วัดอโศการาม เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2513 ได้รับฉายาว่า ‘โพธิรกฺขิโต’ มีพระราชวรคุณ (สำรอง คุณวุฑฺโฒ) เป็นพระอุปัชฌาย์

พระโพธิรักษ์เป็นผู้ปฏิบัติเคร่งครัด สงบสำรวม เป็นที่ศรัทธาเลื่อมใส มีผู้มาขอศึกษาปฏิบัติตามทั้งฆราวาสและนักบวช จากคณะธรรมยุต และมหานิกาย ต่อมาพระราชวรคุณ ไม่ต้องการให้พระฝ่ายมหานิกายมาศึกษาอยู่ร่วมด้วย พระโพธิรักษ์ จึงเข้ารับการสวดญัตติฯ เป็นพระของคณะมหานิกายอีกคณะหนึ่ง โดยมิได้สึกจากคณะธรรมยุต ที่วัดหนองกระทุ่ม อ.กำแพงแสน จ.นครปฐม โดยมีพระครูสถิตวุฒิคุณ เป็นอุปัชฌาย์ เมื่อวันที่ 2 เม.ย. 2516

ตัวท่านเองมุ่งสารธรรมเป็นใหญ่ ไม่ติดใจเรื่องนิกาย จึงมีพระทั้งมหานิกายและพระธรรมยุต ที่มีปฏิปทาเป็น ‘สมานสังวาส’ กัน มาร่วมศึกษาปฏิบัติอยู่ด้วย โดยยึดถือธรรมวินัยเป็นใหญ่ ซึ่งทำให้พระอุปัชฌาย์ทางฝ่ายธรรมยุตไม่พอใจ พระโพธิรักษ์จึงคืนใบสุทธิให้ฝ่ายธรรมยุตไป เมื่อวันที่ 25 เม.ย. 2516 ถือแต่ใบสุทธิฝ่ายมหานิกายเพียงอย่างเดียว แต่ก็มีพระจากทั้งสองนิกาย อยู่ร่วมศึกษาปฏิบัติด้วย เพราะพระโพธิรักษ์ไม่รังเกียจนิกายใด ๆ มุ่งหมายทำงานเพื่อพระศาสนา เพื่อประโยชน์ส่วนรวม โดยไม่ให้ผิดพระวินัยเป็นสำคัญ

วัตรปฏิบัติที่เป็นเอกลักษณ์สำคัญของพระโพธิรักษ์ คือ การฉันอาหารมังสวิรัติ วันละ 1 มื้อ ไม่ใช้เงินทอง นุ่งห่มผ้าย้อมสีกรัก มีชีวิตอย่างเรียบง่าย ไม่มีการเรี่ยไร ไม่รดน้ำมนต์-พรมน้ำมนต์ ไม่ใช้การบูชาด้วยธูปเทียน และไม่มีไสยศาสตร์ ซึ่งแตกต่างจากพระสงฆ์ในมหาเถรสมาคม ทีมีความเป็นอยู่อย่างสุขสบาย ทำให้บางครั้งถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นพระนอกรีต การทำงานด้านศาสนาได้รับอุปสรรคตลอดมา พระโพธิรักษ์และคณะจึงประกาศลาออกจากมหาเถรสมาคม เมื่อวันที่ 6 ส.ค. พ.ศ. 2518 แต่เมื่อถูกพิพากษาว่าไม่สามารถเรียกขานตนเองว่าเป็นพระได้ จึงเรียกตนเองว่า ‘สมณะ’ แทน แต่ยังคงปฏิบัติเคร่งครัดเหมือนเดิม

‘สมณะโพธิรักษ์’ ได้นำ ‘กลุ่มชาวอโศก’ สร้างชุมชนบุญนิยมขึ้น และก่อตั้งพุทธสถานสันติอโศกขึ้นที่ ถ.นวมินทร์ แขวงคลองกุ่ม เขตบึงกุ่ม กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 7 ส.ค. พ.ศ. 2519 หลังจากนั้น ยังเกิดชุมชนเครือข่ายเป็นชุมชนพึ่งตนเองแบบครบวงจร รวมทั้งเกิดพุทธสถานและชุมชนบุญนิยม 9 แห่ง ได้แก่

-พุทธสถานสันติอโศก เขตบึงกุ่ม กรุงเทพฯ
-พุทธสถานปฐมอโศก อ.เมือง จ.นครปฐม
-พุทธสถานศีรษะอโศก อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ
-พุทธสถานศาลีอโศก อ.ไพศาลี จ.นครสวรรค์
-พุทธสถานสีมาอโศก อ.เมือง จ.นครราชสีมา
-พุทธสถานราชธานีอโศก อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี
-พุทธสถานลานนาอโศก อ.สันทราย จ.เชียงใหม่
-สังฆสถานทะเลธรรม อ.เมือง จ.ตรัง
-สังฆสถานหินผาฟ้าน้ำ อ.แก้งคร้อ จ.ชัยภูมิ

นอกจากนี้ ยังมีการก่อตั้งองค์กรในชุมชนบุญนิยมสันติอโศก รวม 8 องค์กร ได้แก่ มูลนิธิธรรมสันติ กองทัพธรรมมูลนิธิ สมาคมผู้ปฏิบัติธรรม ธรรมทัศน์สมาคม มูลนิธิเพื่อนช่วยเพื่อน สมาคมศิษญ์เก่าสัมมาสิกขา สมาคมนักศึกษาผู้ปฏิบัติธรรม และมูลนิธิบุญนิยม

ธรรมะประจำวันอาทิตย์ที่ 7 เมษายน 2567

เมื่อวันที่ 2 เม.ย. 67 ที่ผ่านมา เป็นวันคล้ายวันมรณภาพของ ‘หลวงปู่วัง ฐิติสาโร’ รำลึก 71 ปี อาจาริยบูชาคุณ ‘พระโพธิสัตว์แห่งภูลังกา’ 

‘หลวงปู่วัง’ ท่านเป็นพระธุดงคกรรมฐานที่ช่ำชองการอยู่ป่าเป็นวัตร ออกแสวงหาความวิเวก อยู่ในพื้นที่กันดารไม่หวาดหวั่นพรั่นพรึงต่อภยันตราย ไข้ป่า สัตว์ป่า ผีร้าย หรือแม้แต่ความอดอยาก ท่านปฏิบัติธรรมอย่างอุกฤษฏ์ อยู่รุกขมูลตามป่าทึบดงหนา เงื้อมผา และโถงถ้ำ ทั่วทั้งอาณาเขตดงสีชมพู ทั้งที่ภูวัว ภูสิงห์ และภูลังกา 

‘หลวงปู่วัง’ ท่านเป็นศิษย์ หลวงปู่เสาร์ กันตสีโล และยังได้เคยไปศึกษาธรรมอยู่กับหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต หลายครั้งหลายคราว อีกทั้งยังถือว่าเป็นศิษย์รุ่นแรกของหลวงปู่ฝั้น อาจาโรและหลวงปู่อ่อน ญาณสิริ อีกด้วย 

หลวงปู่วัง ท่านปรารถนาพุทธภูมิเพื่อตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์หนึ่ง แม้หลวงปู่เสาร์ กันตสีโล ผู้เป็นพระอาจารย์เคยเตือนว่า การปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้านั้นต้องใช้เวลาสร้างบารมีมาหลายกัป หลายภพหลายชาติ มันเนิ่นช้าต้องเวียนว่ายในสังสารวัฏอีกยาวไกล แต่หลวงปู่วัง ก็ได้กราบเรียนท่านหลวงปู่ว่ามีความมุ่งมั่นรักในพุทธภูมินี้มาก แม้จะมีผู้มีอำนาจมาบังคับว่าถ้าไม่ยอมถอนจากความปรารถนานี้ จะฆ่าให้ตาย ก็ไม่ยอมถอน แม้จะฆ่าให้ตายก็ยอม เมื่อเป็นอย่างนั้นท่านหลวงปู่เสาร์ก็พลอยอนุโมทนาด้วย และบอกว่าขอให้ตั้งใจต่อไป 

ที่ถ้ำชัยมงคล ธรรมสถานหลวงปู่วังที่ภูลังกา จึงพบเห็นพระพุทธรูปฝีมือการปั้นโดยหลวงปู่วัง อยู่หลายองค์ด้วยกัน หลวงปู่วัง ท่านมักพบเห็นสิ่งอัศจรรย์เหนือโลก และเป็นที่รักใคร่ของเทวดา บังบด พญานาค และฤาษีผู้บำเพ็ญตบะอยู่ตามป่าเขา จนท่านได้รับสมญานามว่าเป็น ‘เทพเจ้าแห่งภูลังกา’

หลวงปู่วัง ท่านละสังขารลงเมื่อวันที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2496 ซึ่งก่อนมรณภาพ ท่านได้พูดกับศิษย์เบา ๆ ด้วยน้ำเสียงปกติว่า “มันจะตายก็ให้มันตายไป” แล้วก็ไม่พูดอะไรอีก 

จากนั้นประมาณหนึ่งชั่วโมง ท่านก็ได้มรณภาพไปด้วยอาการอันสงบ เมื่อเวลา 20.18 น. ลูกศิษย์หลวงปู่วัง ที่เป็นที่รู้จักในวงศ์พระกัมมัฏฐาน ได้แก่ หลวงปู่วัน อุตฺตโม วัดถ้ำอภัยดำรงธรรม จ.สกลนคร, หลวงปู่โง่น โสรโย วัดพระพุทธบาทเขารวก จ.พิจิตร และ หลวงปู่คำพันธ์ จันทูปโม วัดศรีวิชัย จ.นครพนม

บรรณานุกรมอ้างอิง​ : คัดลอกจากหนังสือชีวประวัติหลวงปู่คำพันธ์ จนฺทูปโม วัดศรีวิชัย บ้านศรีเวินชัย ต.สามผง อ.ศรีสงคราม จ.นครพนม​

INFO & TOON

เปิดผลการจัดอันดับ ’20 โรงพยาบาล‘ ที่ดีที่สุดในไทย!! ปี 2024 ✨👏🏻

ทั้งนี้ ‘บำรุงราษฎร์’ ครองอันดับ 1 ของไทย อีกทั้งยังเป็นโรงพยาบาลไทยเพียงแห่งเดียวที่ติด 130 อันดับแรก โรงพยาบาลที่ดีที่สุดในโลก อย่างต่อเนื่อง 4 ปีซ้อน โดยนิตยสาร Newsweek ร่วมกับ Statista

สำหรับการให้คะแนนโรงพยาบาลแต่ละแห่งนั้น พิจารณาจาก 4 แหล่ง ได้แก่ 1.การสำรวจออนไลน์จากแพทย์ ผู้บริหารโรงพยาบาล บุคลากรทางการแพทย์มากกว่า 85,000 ราย 2.ข้อมูลจากการสำรวจความพึงพอใจโดยทั่วไปของผู้ป่วยหลังเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล 3.ดัชนีตัวชี้วัดคุณภาพของโรงพยาบาล เช่น มาตรการด้านสุขอนามัย ความปลอดภัยของผู้ป่วย และอัตราส่วนผู้ป่วย/แพทย์ หรือพยาบาลต่อผู้ป่วย และ 4.การสำรวจของ Statista ที่ใช้แบบประเมินผลลัพธ์ด้านการรักษาพยาบาลของผู้ป่วย คือ Patient Reported Outcome Measures (PROMs) โดยมีการสำรวจข้อมูลระหว่างวันที่ 1 มกราคม - 31 ธันวาคม 2566

ส่องราคาน้ำมัน ในอาเซียน 'เบนซิน-ดีเซล' ใครแพงที่สุด-ถูกที่สุด?

จัดอันดับราคาน้ำมัน 'เบนซิน-ดีเซล' ในอาเซียน ใครแพงที่สุด-ถูกที่สุด? แล้วไทยอยู่ตรงจุดไหน? ✨✨

ข้อควรรู้ : การเก็บข้อมูลราคาน้ำมันในอาเซียน

- แต่ละประเทศสมาชิกมีมาตรการภาษี และระบบการเก็บเงินเข้ากองทุนหรืออุดหนุนราคาพลังงานที่แตกต่างกัน
- หลายประเทศเพื่อนบ้านยังมีการอุดหนุนราคาอยู่
- ไทยสนับสนุนการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ให้การอุดหนุนราคาโดยกองทุนน้ำมันฯ จึงทำให้ราคาน้ำมันแก๊สโซฮอล์ถูกกว่าเบนซิน

(หมายเหตุ : ข้อมูลราคาน้ำมันข้างต้น ประเทศไทย อ้างอิงราคาจาก ปตท. และ บางจาก และเป็นราคาน้ำมันแก๊สโซฮอล์ 95, E10 ซึ่งมีสัดส่วนการใช้มากที่สุด)

COLUMNIST

คดีอุกอาจ!! ใช้ 'อาคม' ลอบปลงพระชนม์เชื้อพระวงศ์ แต่มนตราสาปแช่ง มิเป็นผล จึงได้บทลงโทษแค่หลาบจำ

ความเชื่อเรื่องผี สาง เครื่องรางของขลัง โชคชะตา โดยเฉพาะ 'คาถาอาคม' เป็นของคู่บ้านเมืองเรามาอย่างช้านานแล้ว 

อย่างเวทมนตร์คาถาที่ถูกนำมาใช้ในด้านดี เช่น การใช้ในการป้องกันตัว การใช้คาถาอาคมประกอบการปรุงยารักษาโรค การใช้อาคมประกอบการไล่ภูตผีปีศาจโดยใช้หวายเสก (อันนี้มีบันทึกไว้ในจดหมายเหตุลาลูแบร์ในสมัยอยุธยาด้วย) การอาราธนาสิ่งศักดิสิทธิ์เพื่อปลุกขวัญกำลังใจอย่างการตัดไม้ข่มนามก่อนออกรบซึ่งปรากฏในการณ์ต่าง ๆ 

นอกจากนี้ ก็ยังมีสำหรับใช้เพื่อปากท้องของประชาชนทางด้านการเกษตร อย่างการขอฝน โดยตามบันทึกคำให้การของชาวกรุงเก่าที่ระบุว่า เกิดขึ้นในสมัยสมเด็จพระมหาธรรมราชาคือ ในช่วงนั้นเกิดภาวะฝนแล้ง ชาวบ้านทำนาไม่ได้ผล เชื่อกันว่าเทวดาเบื้องบนเป็นเหตุให้เกิดฝนแล้ง พระองค์จึงรับสั่งให้พระเถระชั้นผู้ใหญ่ 2 รูป เป็นผู้ประกอบพิธีกรรมเพื่อแก้ไข ซึ่งในบันทึกก็ระบุว่ามีฝนตกลงมาจริง 

เมื่อมีด้านดี ก็ต้องมีด้านไม่ดี อย่างที่เราเรียกกันว่า 'มนต์ดำ' ซึ่งนำมาใช้ในด้านร้ายเช่น การสาปแช่ง การฝังรูปฝังรอย การทำเสน่ห์ยาแฝด การใช้ยาสั่งเพื่อให้เกิดผลตามต้องการไม่ว่าทางใดก็ทางหนึ่ง หรือหนักที่สุดก็คือการใช้ยาสั่งเพื่อ 'ฆ่า' 

ด้วยเหตุนี้ประเทศของเราถึงมี 'กรมแพทยา' ซึ่งมี 'ผู้เชี่ยวชาญทางวิทยาคม' เพื่อรักษาโรคที่เกิดจากอาคมหรือมนต์ดำ ทั้งยังเป็นตุลาการสำหรับไต่สวนคดีที่เกี่ยวข้องกับคุณไสยต่าง ๆ โดย 'ศาลหรือตุลาการกรมแพทยา' ซึ่งมีการอ้างกันว่ามีกรมนี้มาตั้งแต่สมัยพระเจ้าทรงธรรม แต่จะมีมาตั้งแต่สมัยนั้นหรือไม่ แต่จากข้อมูลในพระธรรมนูญที่รวบรวมการประทับฟ้องต่าง ๆ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกฎหมายตราสามดวง ที่ตราขึ้นในรัชสมัยของพระเอกาทศรถเมื่อ พ.ศ.2165 มีการระบุถึงการฟ้องร้องกันด้วยเรื่องไสยศาสตร์โดยมีกฎหมายสำหรับรองรับเมื่อมีกรณีดังกล่าวเกิดขึ้นด้วย

'กรมแพทยา' นี้ถูกลดบทบาทและอำนาจลงตั้งแต่ในรัชสมัยรัชกาลที่ 3 มาจนถึงในรัชสมัยรัชกาลที่ 5 เกิดการปฏิรูปหลายอย่างในแผ่นดิน ซึ่งกรมแพทยาก็ถูกยุบลงเพราะถูกมองว่าล้าหลัง ไม่ทันสมัย 

แต่ในช่วงก่อนการปฏิรูปก็มีคดีที่น่าสนใจในเรื่องการใช้ 'มนต์ดำ' ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ใหญ่โตระดับการลอบปลงพระชนม์พระราชวงศ์ชั้นสูงเลยทีเดียว แต่สุดท้ายคดีนี้ก็กลายเป็นคดีด้านคาถาอาคมที่ไม่เกิดผลและน่าจะเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ 'กรมแพทยา' ถูกยุบไปในที่สุด

เรื่องของเรื่องเป็นแบบนี้ครับ ในปี พ.ศ. 2419 มีคนคิดจะใช้อาคมทำร้าย 'สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ามหามาลา กรมพระยาบำราบปรปักษ์' ผู้สำเร็จราชการในพระราชสำนัก โดยเจ้าอาคมมีชื่อว่า 'เกษ'

ส่วนนาย 'เกษ' จะก่อเหตุด้วยการขุ่นเคืองใดไม่มีปรากฏในบันทึก เพราะเป็นเพียงขั้นพยายามแต่ยังไม่ถึงขั้นลงมือก็โดนจับไปขังคุกเสียก่อน แต่ทว่าแม้อยู่ในคุกเขาก็ไม่ได้มีความสำนึกยังคงเดินหน้าปั้นหุ่นรูปสมเด็จฯ เสกเป่า สาปแช่ง ด้วยมนต์ดำทั้งหลายเพื่อหวังจะฆ่าพระองค์ให้ได้ด้วยอาคมร้าย ทั้งยังได้รับเสียงเชียร์จากคนโทษร่วมคุกอื่น ๆ อีกด้วย 

ซึ่งคดีนี้ถูกนำความขึ้นกราบบังคมทูลในหลวงรัชกาลที่ 5 ซึ่งพระองค์ทรงวิตกห่วงใยในความปลอดภัยของสมเด็จฯ กรมพระยาบำราบปรปักษ์ จึงทรงมีพระราชหัตถเลขาถึง 'พระยามหามนตรี' (อ่ำ อมรานนท์) ความว่า...

"ถึง พระยามหามนตรี ด้วยอ้ายเกษที่ไปจำไว้ ณ คุกนั้น กลับทำเล่ห์กลเวทมนตร์ปั้นรูปสมเด็จฯ เสกเป่าต่างๆ นั้น ได้สั่งให้พระพิเรนทร์ให้ไปชำระเอาความได้ในเวลาพรุ่งนี้ แต่อ้ายคนนี้เห็นจะต้องตายเสียหรืออย่างไรให้สูญเสียทีเดียว ถ้ายังอยู่ก็จะเป็นข้อพยาบาทสมเด็จฯ ต่อไปไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร แต่บัดนี้ความวิตกนัก ด้วยเกิดความขึ้นดังนี้ ไม่รู้ว่าพ่อแม่พวกพ้องมันจะคิดร้ายอย่างไรกับสมเด็จฯ ถ้ามีเหตุการณ์สมเด็จฯ เป็นอย่างไรลงแลข้าก็เหมือนแขนขาดตาบอดเป็นสิ้นตัว..... 

"ให้พระยามหามนตรี คิดอ่านรักษาสมเด็จฯ ในเวลานี้อย่าให้มีอันตรายได้ แล้วให้ไปพร้อมด้วยพระพิเรนทรเทพชำระเอาต้นเหตุุความคิดให้สิ้นเชิง ให้ได้เร็วในพรุ่งนี้มะรืนนี้จะได้ให้พระยามหามนตรีมาเฝ้าท่าน วางการไว้ในเวลาค่ำวันนี้ให้เรียบร้อย ถ้ามีเหตุภายนอก พระยามหามนตรีจะต้องเป็นโทษ"....

นอกจากนี้พระพุทธเจ้าหลวงยังทรงมีพระราชหัตถเลขาไปถึง สมเด็จฯ กรมพระยาบำราบปรปักษ์ ความว่า...

"ทูลฯ ท่านให้ทราบ ด้วยอ้ายคนนี้มันยังคิดการทำร้ายอยู่เสมอเห็นจะเอาไว้ไม่ได้ต้องตายเสีย ได้สั่งให้พระยามหามนตรีกับพระพิเรนทร์ไปชำระความเอาความจริงให้ได้ในพรุ่งนี้ แต่หม่อมฉันมีความวิตกที่พระองค์ท่านมากนัก ด้วยมันคิดร้ายด้วยเวทมนต์ไม่สำเร็จจะเล่นตรง ๆ ได้สั่งพระยามหามนตรีให้มาคิดระแวดระวัง แต่การภายในสำคัญมากนักขอให้ท่านรักษาพระองค์ให้จงมาก..."

ในเหตุการณ์นี้ แม้ว่าทั้งล้นเกล้ารัชกาลที่ 5 และสมเด็จฯ กรมพระยาบำราบปรปักษ์ จะทรงมีพระราชอำนาจประหารชีวิตคนได้และทรงเห็นว่านาย 'เกษ' สมควรตาย แต่ในที่สุดก็ทรงวินิจฉัยคดีนี้ว่า...

"ซึ่งอ้ายเกษคบคิดกับอ้ายขุนคนโทษด้วยกัน ปั้นรูปสมเด็จฯ กระหม่อมฉัน ให้อ้ายทรัพย์ อ้ายขำ เอาไปฝังป่าช้าทำเวทมนตร์ต่าง ๆ ดังนี้ อ้ายเกษ อ้ายขุน อ้ายทรัพย์ อ้ายขำ ทาสผู้รู้เห็นมีความผิดให้เฆี่ยนอ้ายเกษ อ้ายขุนคนละ 60 ที แล้วจำคุกให้หมั้น อย่าให้เที่ยวไปมาได้ แลให้เฆี่ยนอ้ายทรัพย์ อ้ายขำ คนละ 30 ที เอาตัวจำคุกไว้ปีหนึ่งจึงพ้นโทษ"

โดยรวมก็ถือว่าเป็นโทษที่ไม่หนักทั้ง ๆ ที่เป็นการอาฆาตมาดร้ายเชื้อพระวงศ์ชั้นสูง แต่สุดท้ายจอมขมังเวทย์และทีมงานก็รอด อาจเพราะทำมนตราสาปแช่ง อย่างไรก็ไม่เป็นผลจริง

(อ้างอิงข้อมูลจาก 'หนังสือมิติลี้ลับในพงศาวดาร' โดย โรม บุนนาค) 

‘Lauren Singer’ นักเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อม ผู้ใช้ชีวิตแบบ ’ไม่ผลิตขยะ‘ มาแล้วกว่าสิบปี

ปัญหาขยะเป็นปัญหาโลกแตก ซึ่งแก้ได้ยากมาก ๆ แต่มีหญิงสาวชาว New York ผู้หนึ่งซึ่งใช้ชีวิตปลอดขยะ (Zero waste) มาแล้วกว่าสิบปี ทั้ง ๆ ที่เธออาศัยอยู่ในมหานครใหญ่อันดับต้น ๆ ของโลก

ทั้งนี้ ‘Zero Waste’ หรือ ‘แนวคิดขยะเป็นศูนย์’ เป็นแนวทางในการลดขยะตั้งแต่ต้นทาง ซึ่งจะช่วยทำให้ขยะที่ต้องถูกนำไปกำจัดลดเหลือน้อยที่สุด หรือเป็นศูนย์ ด้วยส่วนหนึ่งของปัญหาขยะเกิดจากการใช้ชีวิตประจำวันที่บริโภคสินค้าแบบใช้ครั้งเดียวแล้วทิ้ง เช่น ขวดน้ำพลาสติก ถุงพลาสติก หลอดพลาสติก โฟม ผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้คำนึงถึงผลกระทบต่อสุขภาพ สังคม และสิ่งแวดล้อม เมื่อขยะคือภาระของทุกคน จึงเป็นที่มาของการใช้ชีวิตแบบ ‘Zero Waste’ ซึ่งคือการหมุนเวียนทรัพยากรกลับมาใช้ใหม่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด และจะไม่สร้างขยะใหม่ ๆ โดยพยายามไม่ให้มีอะไรหลงเหลือจนเป็นขยะได้ โดยยึดหลักง่าย ๆ อย่าง 1A3R ซึ่งประกอบด้วย

1A : Avoid การหลีกเลี่ยงใช้สิ่งที่ก่อให้เกิดขยะเพิ่ม เช่น พลาสติกที่ใช้ครั้งเดียวแล้วทิ้ง
R1 : Reduce การใช้วัสดุที่ก่อให้เกิดขยะให้น้อยลง เช่น การใช้ถุงผ้าไปช็อปปิ้งแทนการรับถุงพลาสติกจากร้านค้า
R2 : Reuse การนำกลับมาใช้ใหม่ เช่น กล่องพัสดุที่ได้รับมา นำไปใส่ของส่งของต่อให้ผู้อื่น
R3 : Recycle การหมุนเวียนนำกลับมาใช้ใหม่ เช่น การ Recycle พลาสติก ให้ออกมาเป็นวัสดุตั้งต้นในการสร้างผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ

(Lauren Singer ในร้าน Package Free ของเธอ)

อย่างไรก็ตาม Lauren Nicole Singer เกิดที่นคร New York มลรัฐ New York เมื่อ 4 พฤษภาคม ค.ศ.1991 ปัจจุบันอายุ 33 ปี เรียนจบปริญญาตรี ด้านสิ่งแวดล้อมและรัฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัย New York เมื่อปี ค.ศ. 2013 และจบปริญญาโทจากมหาวิทยาลัย Columbia จากนั้นได้ทำงานเป็นนักวิเคราะห์ด้านความยั่งยืนของสำนักงานคุ้มครองสิ่งแวดล้อมของนคร New York ก่อนที่จะออกมาก่อตั้งธุรกิจสีเขียว The Simply Co. และ Package Free เธอเป็นนักเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อม ผู้ประกอบการอิสระ และบล็อกเกอร์ในการเคลื่อนไหวเพื่อไร้ขยะ โดยเธอเริ่มใช้ชีวิตแบบไร้ขยะมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 2012 ซึ่งเธอเป็นที่รู้จักจากการรวบรวมขยะทั้งหมดจากเว็บบล็อกที่สร้างขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ. 2012 โดยเธอบดขยะในโถบดขนาด 16 ออนซ์ และบล็อกของเธอก็คือ ‘Trash is for Tossers’ (ขยะเป็นของไร้ค่า) ซึ่งให้คำแนะนำแก่ผู้อ่านในการใช้ชีวิตอย่างยั่งยืนโดยปลอดขยะ พร้อมกับบันทึกวิถีชีวิตที่ปราศจากขยะ เพื่อเปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภคเพื่อเลิกการฝังกลบขยะ และลดละเลิกผลิตภัณฑ์จากอุตสาหกรรมที่ก่อให้เกิดมลภาวะต่อสิ่งแวดล้อม

(น้ำยาซักผ้าออร์แกนิกและปลอดสารพิษ The Simply Co.)

Lauren Nicole Singer ได้ออกจากงานประจำในปี ค.ศ. 2014 และเปิดตัว The Simply Co. โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อนำผลิตภัณฑ์ดูแลส่วนบุคคล เช่น น้ำยาซักผ้าปลอดสารพิษออกสู่ตลาด น้ำยาซักผ้าออร์แกนิกของเธอได้รับการสนับสนุนจาก Kickstarter และจำหน่ายผ่านเว็บไซต์ของ Kickstarter และที่ร้านค้าส่งทั่วสหรัฐอเมริกา เริ่มผลิตผลิตภัณฑ์พร้อม ๆ กัน The Simply Co. ในปี ค.ศ. 2017 เธอเปิด Package Free เป็นร้านแบบป๊อปอัพในเมือง Williamsburg และนับตั้งแต่เปิดตัว Package Free สามารถลดขยะจากการฝังกลบได้หลายร้อยล้านชิ้น ในปี ค.ศ. 2023 นอกจากนี้ เธอยังได้ร่วมก่อตั้ง Overall Capital โดยเธอบอกว่า Rachel Carson และ Bea Johnson ในฐานะนักเขียนและนักเคลื่อนไหวเป็น 2 แรงบันดาลใจให้สนใจเรื่องความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม และเธอยังได้รับการเสนอชื่อให้เป็น ‘สตรีที่น่าจับตามอง’ ของ Business Insider และ ‘หนึ่งในห้าสิบสตรีเปลี่ยนโลก’ ของ InStyle และ ‘ผู้เปลี่ยนแปลง ปี 2020’ ของ  Well + Good 

อย่างไรก็ตาม เรา ๆ ท่าน ๆ อาจจะคิดเองว่า แค่เปลี่ยนพฤติกรรมของตัวเองง่าย ๆ อย่างการเริ่มต้นจากการใช้กล่องข้าว ขวดน้ำ ที่สามารถนำกลับมาใช้ซ้ำได้ หรือแม้แต่ร้านค้าทางเลือกอย่าง Refill Station ที่ให้ความสำคัญกับปัญหาสิ่งแวดล้อม ในรูปแบบของการไม่ง้อบรรจุภัณฑ์พลาสติก โดยทุกคนนำภาชนะไม่ว่าจะเป็นขวดแก้วหรือขวดโหล มาเติมผลิตภัณฑ์ด้วยตัวเองนำกลับไปใช้ที่บ้าน และการคัดแยกขยะจะช่วยอะไรได้มากมาย แต่ความจริงแล้วการแยกขยะก่อนทิ้งมีประโยชน์อย่างมาก ทั้งเป็นการประหยัดงบประมาณของประเทศ ขยะอันตรายจะได้รับการกำจัดอย่างถูกวิธีเพื่อลดปัญหาหรือมลพิษต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นตามมา ฉะนั้นหากทุกครอบครัวเริ่มต้นที่การคัดแยกขยะก่อนทิ้ง เพียงเท่านี้ก็จะช่วยลดปริมาณขยะมูลฝอยที่ต้องนำไปกำจัดให้มีปริมาณน้อยลง และเป็นการลดภาวะโลกร้อนได้อีกทางหนึ่งด้วย

ย้อนประวัติศาสตร์ 'สงกรานต์' ในแต่ละชาติ ปรับไปบ้างตามเวลา แต่สุขสันต์มิเคยเปลี่ยน

ขอต้อนรับทุกท่านเข้าสู่เทศกาลสงกรานต์ ปีใหม่ไทยของเรา สงกรานต์ที่ 'ยูเนสโก' ได้ประกาศขึ้นทะเบียนให้ 'สงกรานต์ในประเทศไทย' เป็นรายการในบัญชีตัวแทนมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ 

บทความนี้ผมจะเขียนเล่าในมุมที่ไม่ดรามา โดยจะเรียบเรียงเรื่องราวของสงกรานต์ที่น่าสนใจเพื่อให้อ่านกันเพลิน ๆ นะครับ

เริ่มต้นเรื่อง โดยส่วนตัวผมไม่เชื่อว่าสงกรานต์แบบบ้านเรามาจากอินเดีย แต่คำว่าสงกรานต์เรายืมคำนี้มาจากอินเดียแน่ ๆ เพราะคำว่า 'สงกรานต์' หรือ 'สํกฺรานฺติ' เป็นคำในภาษาสันสกฤตแปลว่า ผ่านหรือเคลื่อนย้าย คือการที่ดวงอาทิตย์เคลื่อนจากราศีหนึ่งเข้าสู่อีกราศีหนึ่ง ซึ่งเกิดขึ้นทุกเดือน แต่จะมีเดือนที่สำคัญมากก็คือเดือนที่ดวงอาทิตย์เคลื่อนจากราศีมีนเข้าสู่ราศีเมษ เรียกว่า 'มหาสงกรานต์' ซึ่งในช่วงมหาสงกรานต์นี้ ดินแดนชมพูทวีปเขาจะมีเมนูอาหารและกิจกรรมพิเศษ เช่น...

บังกลาเทศ : เขาจะมีการเดินพาเหรดและเมนูพิเศษ 'ปันตาภัต' คือข้าวสวยแช่น้ำที่เสิร์ฟพร้อมปลาทอด กินพร้อมหอมแดงและพริกเขียว คล้าย ๆ ข้าวแช่บ้านเรา 

ศรีลังกา : ชาวพุทธสิงหลและชาวฮินดูทมิฬ จะมีการฉลองปีใหม่ร่วมกัน ผู้คนจะทำความสะอาดบ้าน จุดตะเกียงน้ำมัน และทานเมนูพิเศษ 'คิริภัต' คือข้าวกะทิ 

ส่วนในอุษาคเนย์ : ประเพณีสงกรานต์ในแต่ละแห่งก็จะพบว่ามีความคล้ายคลึงกันอย่างมาก เช่น คนในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาเรียกกันว่า 'สงกรานต์' ทางล้านนาเรียกว่า 'ปี๋ใหม่เมือง' ทางเขมรเรียกว่า 'ซ็องกราน' ส่วนมอญเรียกว่า 'ซงกราน' ทางพม่าเรียกว่า 'ทิงยัน' โดยจุดเชื่อมกันของเทศกาลนี้ ถ้าไม่นับการสาดน้ำ ก็จะมีการรดน้ำประแป้ง การละเล่นพื้นบ้าน การรดน้ำดำหัวขอพรจากผู้ใหญ่ ทำบุญตักบาตร สรงน้ำพระพุทธรูป นอกจากนี้ก็จะมีรายละเอียดปลีกย่อยแตกต่างกันไปในแต่ละภูมิภาค ส่วนเรื่องอาหารการกินหรือกิจกรรมที่พิเศษเหมือนชมพูทวีปไหม? มันก็มีอยู่บ้างครับ 

ตัวอย่างเช่นที่ 'พม่า' เขาจะมีเมนูพิเศษคือ 'ม่งโลงเหย่ป่อ' ซึ่งเป็นข้าวเหนียวปั้นไส้น้ำตาล คล้าย ๆ ขนมต้มบ้านเรา ทำกินเฉพาะเทศกาลนี้ พร้อมด้วยมหกรรมสาดน้ำ (ต้องเรียกมหกรรมเพราะสาดยับจริง ๆ) ซึ่งพม่านี้เขามีนิทานเรื่องการสาดน้ำที่ค่อนข้างจะเป็นโศกนาฏกรรม แต่เขาเชื่อว่านี่คือหลักฐานการ 'สาดน้ำ' ที่เก่าที่สุด (ทำไม? มันถึงมาผูกกับการสาดน้ำที่สนุกสนานก็ไม่รู้) 

เรื่องนี้ปรากฏอยู่ในพงศาวดารพม่าฉบับอูกะลา ในสมัยของ 'พระเจ้านรสีหบดี' หรือ 'พระเจ้าหนีจีน' แห่งพุกาม ที่ชื่อว่าหนีจีน เพราะกองทัพมองโกลของพระเจ้ากุบไลข่านยกมาตีพุกาม พระองค์ต้านไม่ไหวก็เลยหนีลงมาทางพม่าตอนล่าง ซึ่งร่วมสมัยกับ 'พญามังราย' แห่งเชียงใหม่ 'พ่อขุนรามคำแหง' แห่งสุโขทัย และ 'พระยางำเมือง' แห่งพะเยา ซึ่งไม่ได้มีบันทึกเรื่องสงกรานต์ไว้เหมือนพุกาม เรื่องของเรื่องเป็นอย่างนี้ 

พระเจ้านรสีหบดีมีพระเหสีชื่อ 'พระนางพวาซอ' และมีพระสนมอีกหลายองค์ พระสนมที่โดดเด่นคือ 'พระสนมซอลง' และ 'พระสนมซอเม่า' ทุก ๆ สงกรานต์ซึ่งเป็นฤดูเดือนที่อากาศร้อน พระองค์มักเสด็จฯ ลงสรงพระกระยาสนานหรือสระผม บริเวณท่าน้ำเป็นเวลานาน ๆ บ่อย ๆ 

ที่นี้พะองค์คงนึกสนุกและอยากจะหยอกล้อ 'พระสนมซอลง' จึงรับสั่งให้พระสนมองค์อื่น ๆ และนางข้าหลวงสาดน้ำใส่พระสนมซอลงแบบไม่ให้รู้ตัว พอโดนรุมสาดแบบไม่ทันตั้งตัว ผมเผ้าเสื้อผ้าก็เปียกปอนไปหมด จนทำให้พระสนมซอลงรู้สึกอับอาย โดยไม่ได้คิดว่านี่คือการล้อเล่นสาดน้ำในหมู่คนที่คุ้นเคยกัน 

จากเหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้พระสนมซอลงคิดแค้น ว่าพระเจ้านรสีหบดีออกอุบายกลั่นแกล้ง จึงคิดจะเอาคืน โดยแอบใส่ยาพิษลงไปในพระกระยาหารของพระเจ้านรสีหบดี (คุณพระ!!!) ซึ่งปกติแล้วหน้าที่ยกพระยาหารขึ้นถวายพระเจ้านรสีหบดีเป็นหน้าที่ของพระสนมซอลง แต่วันนั้นพระสนมซอลงแกล้งป่วย จึงขอร้องให้ 'พระสนมซอเม่า' ทำหน้าที่แทน

ระหว่างที่กำลังเชิญพระกระยาหารขึ้นถวายนั้น ปรากฏว่ามีสุนัขหลวงทรงเลี้ยงตามเห่าพระสนมซอเม่า พระสนมซอเม่าคิดว่ามันคงหิว ด้วยความสงสารจึงแอบนำอาหารบางส่วนโยนให้กิน พอสุนัขหลวงกินมันก็ตายทันที พอความทราบถึงพระเจ้านรสีหบดี พระองค์จึงให้สอบสวน จนได้ความตามจริงว่าพระสนมซอลงลอบวางยาพิษ ผลก็คือ 'พระสนมซอลง' ต้องโทษประหารชีวิต ทั้งหมดนี้เป็นความเข้าใจผิดของพระสนมนั่นเอง

จบแบบโศกนาฏกรรม 

แต่ในประวัติสงกรานต์พม่า ที่มาของการเล่นสาดน้ำในปัจจุบันที่เก่าแก่ที่สุดก็คือการสาดน้ำใส่ 'พระสนมซอลง' นี่แหละ ทั้งยังมีภาพจิตรกรรมฝาผนังสมัยพุกามที่เล่าเรื่องราวของการเล่นน้ำสงกรานต์ มีภาพของการเทน้ำจากหม้อน้ำราดใส่กันประกอบอีกด้วย ผมว่ายอมพม่าเขาไปเหอะ นี่ยังไม่รวมภาพใน The Graphic เมื่อ ค.ศ. 1888 ที่ปรากฏคนพม่าสาดน้ำใส่ฝรั่งอังกฤษนะ ซึ่งอันนี้เขาดรามากันไปเยอะแล้ว ผมไม่เล่าล่ะ 

'สงกรานต์พม่า' จัดขึ้นช่วงเดือน 5 (เมษายน) ของไทย พม่าเรียกว่า 'เดือนดะกู' ส่วนสงกรานต์ในภาษาพม่าเรียกว่า 'เหย่บะแวด่อ' (คำว่า 'เหย่' แปลว่า 'พิธีน้ำ' ส่วน 'บะแวด่อ' แปลว่า 'เทศกาล') รัฐบาลพม่ากำหนดประเพณีสงกรานต์ให้ตรงกับวันที่ 13-17 เมษายนของทุกปี ซึ่งสงกรานต์บ้านเขานี้จัดอย่างจริงจัง สาดกันจริงจังแบบไม่มีคำว่า 'ไม่เปียก'

มาที่ 'สงกรานต์ลาว' ที่จะจัดขึ้นในวันที่ 14-16 เมษายนของทุกปี โดยออกเป็น 3 วัน วันแรกเรียกว่า 'วันสังขารล่วง' ชาวบ้านจะทำความสะอาดบ้านเรือนเพื่อเป็นการปัดเป่าสิ่งไม่ดีออกไปและเตรียมรับสิ่งใหม่ ๆ เข้ามา วันที่สองเรียกว่า 'วันเนา' ถือเป็นวันแห่งครอบครัว ญาติพี่น้องจะมารวมตัวกันเพื่อบายศรีสู่ขวัญให้แก่ผู้อาวุโส และวันสุดท้ายเรียกว่า 'วันสังขารขึ้น' ถือว่าเป็นวันปีใหม่ที่แท้จริง จะมีการอวยชัยให้พรซึ่งกันและกัน มีการสรงน้ำพระและการแห่นางสังขาร ซึ่งเป็นนางสงกรานต์ของลาวแล้วก็มีการสาดน้ำกันพอกรุบกริบ 

'สงกรานต์กัมพูชา' ถือเป็นวันขึ้นปีใหม่ของชาวกัมพูชาเรียกกันว่าเทศกาล “โจลชนัมทเมย” เป็นช่วงต้นฤดูกาลเก็บเกี่ยว ในแต่ละปีรัฐบาลกัมพูชาอาจจะกำหนดให้จัดขึ้นในวันที่ 13-15 หรือ 14-16 เมษายน มีกิจกรรมคล้าย ๆ กันแบ่งงานสงกรานต์ออกเป็น 3 วัน วันแรกทำบุญตักบาตร มีการขนทรายเข้าวัดเพื่อเตรียมก่อพระเจดีย์ทราย วันที่สองเป็นวันของครอบครัว ช่วงค่ำก็จะมาร่วมกันก่อพระเจดีย์ทราย ส่วนในวันที่สาม จะมีการละเล่นรื่นเริงต่าง ๆ สรงน้ำพระพุทธรูป และรดน้ำดำหัวญาติผู้ใหญ่เพื่อความเป็นสิริมงคล 

'สงกรานต์สิบสองปันนา' สงกรานต์ของชาวไต หรือชาวไท ในสิบสองปันนา มณฑลยูนนาน ทางตอนใต้ของประเทศจีน โดยเฉพาะเมืองเชียงรุ่ง จะจัดงานสงกรานต์ในช่วงวันที่ 13-15 เมษายน เรียกว่าเทศกาล 'พัวสุ่ยเจี๋ย' โดยกิจกรรมหลัก ๆ ที่มีในงานสงกรานต์สิบสองปันนาก็คือ 'การแข่งขันเรือมังกร' ซึ่งเป็นเอกลักษณ์สำคัญของเทศกาลนี้ นอกจากนี้ก็จะมีการ 'ระบำนกยูง' ที่มีความเชื่อว่านกยูงนำพาความโชคดีมาให้ นอกจากนี้ก็ยังมีการร้องรำทำเพลง การเล่นน้ำ และการรดน้ำดำหัวให้กันและกัน 

'สงกรานต์ของประเทศไทย' แม้ว่าเราอาจจะไม่ได้มีบันทึกการเล่นสาดน้ำเหมือนอย่างของพม่า แต่เทศกาลของเราก็มีความลุ่มลึกอย่างมีนัยยะสำคัญทั้งผูกพันกับการรำลึกถึงบรรพบุรุษ ครอบครัว ด้วยความชุ่มฉ่ำทั้งการสรงน้ำพระ การรดน้ำดำหัว และธรรมเนียมประกอบที่ดีงามไม่แพ้ใคร ๆ อย่างเช่น... 

ภาคเหนือเรามีพิธีความเชื่อเรื่อง 'ปู่สังกรานต์' หรือ 'ย่าสังกรานต์' จึงเป็นเหตุแห่งการจุดประทัดไล่เคราะห์ นอกจากนี้บางแห่งจะมีการทำขนมที่ไว้เฉลิมฉลองสงกรานต์ คือกาละแม ข้าวเหนียวแดงใส่ถั่วลิสงคั่ว ข้าวเหนียวแก้ว ข้าวแตน นางเล็ด ไปถวายวัด เพื่อไปเป็นเสบียงส่งไปให้บรรพบุรุษ 

ภาคอีสาน เราก็มีพิธีเสียเคราะห์ที่ใช้กระทงห้อง ใส่อาหารคาว-หวาน ไปทำพิธีในวัดเมือจบจะนำกระทงไปไว้ในป่าหรือทางแพร่งเพื่อเซ่นผีนำเอาสิ่งไม่ดีออกจากตน ตัวอย่างเช่น วัดไชยศรี จ.ขอนแก่น มีการทำบุญอัฐิบรรพบุรุษที่ล่วงลับ เรียกว่า 'สักอนิจจา' มีการ 'แห่ต้นดอกไม้' ที่นาแห้ว จ.เลย ซึ่งทำถวายเป็นพุทธบูชาเพื่อความเป็นมงคลและสร้างความสามัคคีคนในชุมชน (เห็นไหม? สาดน้ำใส่กันมันแค่ส่วนประกอบ) 

ภาคกลางส่วนใหญ่มักประกอบกิจกรรมทางศาสนาเป็นหลัก นอกจากนั้นก็จะมีงานที่เป็นเอกลักษณ์อย่าง สงกรานต์มอญ ที่ยังรักษาวัฒนธรรมของชาวรามัญ-ไทย ไว้อย่างงดงาม ทั้งที่ปากเกร็ด จ.นนทบุรี บ้านแพ้ว จ.สมุทรสาคร หรืออย่างที่พระประแดง จ.สมุทรปราการ 

ภาคใต้บ้านเราจะเรียกว่า 'วันว่าง' ไม่ทำงาน ไม่ตัดเล็บ ตัดผม ก่อนจะเข้าวัดในวันว่างนี้เพราะเชื่อว่าเทวดาองค์เก่าเมื่อปีก่อนไม่อยู่ จึงต้องพึ่งบารมีพระพุทธก่อนที่วันเถลิงศกจะเข้ามาพร้อมเทวดาองค์ใหม่ก็จะมาประจำเมือง โดยจะแต่งชุดสวย ชุดใหม่ รอรับกันในวันนี้ 

ถึงตรงนี้ที่สงกรานต์คือ กิจกรรมสำคัญที่ผมอยากจะชวนให้ท่านผู้อ่านทุก ๆ ท่านไปค้นหาและสัมผัสความดีงามเหล่านั้นด้วยตัวของท่านเอง ซึ่งผมเชื่อว่าแม้ความเปลี่ยนแปลงทางสังคมจะทำให้ประเพณีสงกรานต์เปลี่ยนแปลงไปบ้าง แต่ความเป็นเทศกาลแห่งการเฉลิมฉลองการเปลี่ยนผ่านของปี ความรื่นเริงสนุกสนานและการระลึกถึงบรรพบุรุษ ครอบครัว ผู้หลักผู้ใหญ่ที่เคารพนับถือ จะยังคงเป็นสิ่งที่ดำรงอยู่และสืบทอดต่อไปอีกนานเท่านาน สุขสันต์วันสงกรานต์นะครับ

WORLD

‘หวังอี้’ วอน ‘บลิงเคน’ ช่วยแก้ปัญหาขัดแย้ง ‘จีน-สหรัฐฯ’ หวั่น!! ความสัมพันธ์ทั้งสองชาติ จะย่ำแย่เกินการควบคุม

(26 เม.ย. 67) สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานว่า นายหวัง อี้ สมาชิกกรมการเมือง ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการกลางด้านการต่างประเทศพรรคคอมมิวนิสต์จีน และรัฐมนตรีต่างประเทศของจีน ได้หารือกับนายแอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐ ที่เดินทางเยือนกรุงปักกิ่ง ประเทศจีน เมื่อวันที่ 26 เมษายน โดยรัฐมนตรีต่างประเทศจีนได้เรียกร้องให้บลิงเคนแก้ปัญหาความขัดแย้งที่เพิ่มขึ้นระหว่างจีนและสหรัฐ มิเช่นนั้นก็อาจมีความเสี่ยงที่ความสัมพันธ์จะย่ำแย่อย่างไร้การควบคุม

นี่ถือเป็นการเดินทางเยือนจีนครั้งที่สองในรอบไม่ถึง 1 ปีของบลิงเคน ขณะที่จีนกำลังไม่พอใจกับแรงกดดันทางเศรษฐกิจของประธานาธิบดีโจ ไบเดนของสหรัฐ รวมถึงการแบนการส่งออกเซมิคอนดักเตอร์และพยายามที่จะบีบให้บริษัท Bytedance ของจีนขายกิจการ Tiktok แอปพลิเคชันแชร์วิดีโอสั้นยอดนิยมในสหรัฐ

ทั้งนี้ นายหวัง อี้ ให้การต้อนรับนายบลิงเคน ที่เรือนรับรองเตียวหยูไถ่ ในกรุงปักกิ่ง โดยกล่าวกับบลิงเคนว่า ความสัมพันธ์ของ 2 ชาติมหาอำนาจอย่างจีนและสหรัฐเริ่มที่จะมีเสถียรภาพ โดยเฉพาะหลังจากที่ประธานาธิบดีไบเดนและประธานาธิบดีสี จิ้นผิงของจีนได้พบกันที่นครซานฟรานซิสโก สหรัฐอเมริกา เมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว

นายหวังกล่าวอีกว่า อย่างไรก็ตาม ในขณะเดียวกัน ปัจจัยลบต่าง ๆ ในความสัมพันธ์ของสองประเทศยังคงเพิ่มมากขึ้น และจีนสนับสนุนการเคารพในผลประโยชน์หลักของแต่ละฝ่าย พร้อมกับเรียกร้องให้สหรัฐไม่เหยียบย่ำขีดจำกัดของจีนในด้านอธิปไตย ความมั่นคง และการพัฒนา

ด้านผู้ช่วยของบลิงเคนระบุก่อนหน้านี้ว่า บลิงเคนจะยกประเด็นต่าง ๆ ที่เป็นข้อกังวล อาทิ การที่จีนสนับสนุนรัสเซีย นายบลิงเคนได้กล่าวกับนายหวังในช่วงต้นของการหารือว่า ทั้งสหรัฐและจีนควรที่จะแสดงให้เห็นว่าสามารถบริหารความสัมพันธ์อย่างมีความรับผิดชอบ และทั้งสองประเทศควรที่จะมีความชัดเจนที่สุดในประเด็นที่มีความต่างอย่างน้อยที่สุดก็เพื่อหลีกเลี่ยงความเข้าใจผิดและการคำนวนผิดพลาด ซึ่งถือเป็นความรับผิดชอบร่วมกันไม่ใช่เพื่อประชาชนของสองประเทศ แต่เพื่อผู้คนทั่วโลก

อย่างไรก็ตาม ทางการจีนยังไม่มีการยืนยันว่าบลิงเคนจะได้พบกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิงของจีนหรือไม่

‘บังกลาเทศ’ ร้อนจัด!! อุณหภูมิสูงกว่า 42 องศาเซลเซียส ตัดสินใจปิดโรงเรียนทั่วประเทศ เด็ก 33 ล้านคนต้องหยุดเรียน

(26 เม.ย. 67) บีบีซี รายงานว่า นักเรียนในบังกลาเทศ กว่า 33 ล้านคน ต้องหยุดอยู่บ้าน หลังทางการสั่งปิดโรงเรียนทั่วประเทศเป็นการชั่วคราวอย่างน้อยจนถึงวันที่ 27 เม.ย. ภายหลังสภาพอากาศร้อนจัด หลายพื้นที่มีอุณหภูมิพุ่งสูงกว่า 42 องศาเซลเซียส

ทั้งนี้ ถือเป็นการปิดโรงเรียนระดับประเทศต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 โดยก่อนหน้านี้อินเดียและฟิลิปปินส์สั่งปิดโรงเรียนทั่วประเทศเช่นกันหลังจากคลื่นความร้อนแผ่กระจายไปทั่วภูมิภาคเอเชีย และตั้งแต่ต้นเดือน เม.ย. หน่วยงานด้านสภาพอากาศของบังกลาเทศออกแถลงการณ์เตือนภัยร้อนเป็นครั้งที่ 4

ท่ามกลางความวิตกกังวลว่าจะเผชิญกับอากาศแปรปรวนสาหัส เนื่องจากบังกลาเทศมีลักษณะเป็นพื้นที่ราบต่ำและเป็นหนึ่งในประเทศที่เสี่ยงต่อผลกระทบจากวิกฤตสภาพภูมิอากาศมากที่สุด

ขณะที่ข้อมูลจากคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (ไอซีพีพี) ระบุว่า ระดับน้ำทะเลที่เพิ่มขึ้น 30-45 เซนติเมตร อาจส่งผลให้ประชาชนมากกว่า 35 ล้านคน หรือประมาณ 1 ใน 4 ของประชากรทั้งประเทศ ที่อาศัยอยู่ในแถบชายฝั่งทะเลต้องพลัดถิ่น

‘ม็อบหนุนปาเลสไตน์’ ผุดขึ้นตามมหาวิทยาลัยทั่วสหรัฐฯ ‘เจ้าหน้าที่’ ปราบดุ!! ใช้สารเคมี-ช็อตไฟฟ้า สลายการชุมนุม

เมื่อวานนี้ (25 เม.ย. 67) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ เริ่มใช้มาตรการแข็งกร้าวกับผู้ชุมนุมประท้วงสนับสนุนปาเลสไตน์ที่ปักหลักชุมนุมกันตามมหาวิทยาลัยต่าง ๆ หลังการชุมนุมลักษณะนี้แผ่ลามไปตามสถาบันอุดมศึกษาอื่น ๆ ทั่วอเมริกามากขึ้น

รายงานข่าวระบุว่า เจ้าหน้าที่ปราบจลาจลใช้สารระคายเคืองและอุปกรณ์ช็อตไฟฟ้าเข้าควบคุมการชุมนุมที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ในขณะที่บรรดาผู้บริหารของสถาบันการศึกษาที่ทรงเกียรติที่สุดของประเทศบางแห่งกำลังดิ้นรนขัดขวางการปักหลักชุมนุมยึดสถานที่ของผู้ประท้วง

การปักหลักชุมนุมและประท้วงอันครึกโครม ผุดขึ้นมาตามมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ทั่วสหรัฐฯ ด้วยที่พวกนักเคลื่อนไหวเรียกร้องข้อตกลงหยุดยิงในสงครามระหว่างอิสราเอลกับนักรบฮามาส เช่นเดียวกับเรียกร้องให้มหาวิทยาลัยทั้งหลายตัดความสัมพันธ์กับอิสราเอลและบริษัทต่าง ๆ ที่พวกเขาบอกว่าโกยกำไรจากความขัดแย้งดังกล่าว

"สำหรับ 201 วัน ที่โลกเฝ้าดูอย่างเงียบ ๆ ปล่อยให้อิสราเอลฆาตกรรมชาวปาเลสไตน์ไปกว่า 30,000 คน" ข้อความหนึ่งที่โพสต์บนสื่อสังคมออนไลน์โดยแกนนำการประท้วงจุดใหม่ที่มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ในลอสแอนเจลิส 

"วันนี้ มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียเข้าร่วมกับนักศึกษาทั่วประเทศ เรียกร้องมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ของเราตัดขาดกับบริษัทต่าง ๆ ที่แสวงหาผลกำไรจากการรุกราน การแบ่งแยก และการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวปาเลสไตน์"

มีผู้ประท้วงมากกว่า 200 คน ถูกจับกุมในวันพุธ (24 เม.ย.) และวันพฤหัสบดี (25 เม.ย.) ตามมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ในลอสแอนเจลิส บอสตัน และในเมืองออสติน รัฐเทกซัส บริเวณที่มีผู้คนกว่า 2,000 ราย มารวมตัวกันอีกครั้งในวันพฤหัสบดี (25 เม.ย.)

ที่มหาวิทยาลัยเอโมรี ในแอตแลนตา ปรากฏภาพถ่ายกำลังใช้เครื่องช็อตไฟฟ้าระหว่างเข้าจัดการกับพวกผู้ประท้วงที่อยู่บริเวณลานหญ้า ขณะที่เว็บไซต์ข่าวของทางมหาวิทยาลัย เผยว่า พวกเจ้าหน้าที่สวมหน้ากากป้องกันแก๊สและใช้สายรัดข้อมือควบคุมตัวผู้ชุมนุม

กรมตำรวจแอตแลนตา อ้างว่าทางมหาวิทยาลัยร้องขอให้ช่วยคุ้มกันมหาวิทยาลัย "พวกเจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายเจอกับการใช้ความรุนแรง เราทราบมาว่าเจ้าหน้าที่กรมตำรวจแอตแลนตาใช้สารระคายเคืองระหว่างเหตุการณ์นี้ แต่กรมตำรวจแอตแลนตาไม่ได้ใช้กระสุนยาง"

สถานการณ์ที่ลุกลามบานปลายของการประท้วง เริ่มต้นขึ้นที่มหาวิทยาลัยโคลัมเบียในนิวยอร์ก หลังจากผ่านพ้นเส้นตายที่พวกนักศึกษาได้รับคำสั่งให้รื้อถอนค่ายชั่วคราวที่พวกเขาใช้ปักหลักชุมนุมและกลายมาเป็นศูนย์กลางของความเคลื่อนไหว

การประท้วงที่ลุกลามกลายมาเป็นความท้าทายใหญ่หลวงสำหรับบรรดาผู้บริหารมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ที่พยายามรักษาสมดุลในพันธสัญญาของมหาวิทยาลัย ในเรื่องของสิทธิเสรีภาพการแสดงออกกับเสียงโวยวายต่าง ๆ เกี่ยวกับการล้ำเส้นของพวกผู้ประท้วง

พวกผู้ประท้วงสนับสนุนอิสราเอลและอื่น ๆ แสดงความกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยในมหาวิทยาลัย โดยชี้ถึงเหตุการณ์ต่อต้านยิวต่าง ๆ และกล่าวหาว่ามหาวิทยาลัยทั้งหลายกำลังสนับสนุนการข่มขู่คุกคามและประทุษวาจา (hate speech)

อย่างไรก็ตาม นักศึกษาผู้ประท้วงบอกว่าพวกเขาต้องการแสดงออกถึงความเป็นหนึ่งเดียวกันกับชาวปาเลสไตน์ในกาซา ดินแดนที่มีผู้ถูกสังหารไปแล้วแตะระดับ 34,305 คน โดยผู้ชุมนุมบางส่วน ในนั้นรวมถึงนักศึกษายิวเองจำนวนหนึ่ง ปฏิเสธคำกล่าวหาต่อต้านยิว และวิพากษ์วิจารณ์พวกเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติกับพวกเขาสวนทางกับฝ่ายสนับสนุนอิสราเอล

อิสราเอล พันธมิตรของสหรัฐฯ เปิดสงครามในกาซา แก้แค้นกรณีที่พวกนักรบฮามาสบุกจู่โจมเล่นงานอิสราเอลเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม สังหารผู้คนไปราว 1,170 ราย และจับตัวประกันไปประมาณ 250 คน คาดหมายว่าเวลานี้ยังเหลือตัวประกันอยู่ในกาซาอีก 129 คน แต่ในนั้น 34 คน สันนิษฐานว่าเสียชีวิตแล้ว

ที่มหาวิทยาลัยเซาเทิร์น แคลิฟอร์เนีย ในลอสแอนเจลิส ซึ่งมีผู้ประท้วงถูกจับกุมฐานบุกรุก 93 รายในวันพุธ (24 เม.ย.) พวกเจ้าหน้าที่เปิดเผยว่าได้ยกเลิกกิจกรรมพิธีสำเร็จการศึกษาในวันที่ 10 พฤษภาคม

ส่วนที่มหาวิทยาลัยเอเมอร์สัน ในบอสตัน สื่อมวลชนท้องถิ่นรายงานว่าได้มีการยกเลิกการเรียนการสอนในวันพฤหัสบดี (25 เม.ย.) หลังจากตำรวจปะทะกับผู้ประท้วงเมื่อคืนที่ผ่านมา รวมถึงเข้ารื้อถอนค่ายของผู้ชุมนุมฝักใฝ่ปาเลสไตน์และจับกุมผู้ประท้วงไปราว 108 คน

ในวอชิงตัน พวกนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยจอร์จทาวน์ และมหาวิทยาลัยจอร์จวอชิงตัน จัดตั้งแคมป์ปักหลักชุมนุมเพื่อแสดงความเป็นหนึ่งเดียวกัน ที่มหาวิทยาลัยจอร์จวอชิงตันในวันพฤหัสบดี (25 เม.ย.) โดยที่บรรดานักศึกษาของมหาวิทยาลัยจอร์จทาวน์ ยังมีแผนประท้วงไม่เข้าเรียนอีกด้วย

การประท้วงและการปักหลักชุมนุมยังผุดขึ้นที่มหาวิทยาลัยนิวยอร์ก และมหาวิทยาลัยเยล แม้พบเห็นนักศึกษาหลายสิบคนถูกจับกุมไปเมื่อช่วงต้นสัปดาห์ เช่นเดียวกับที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด มหาวิทยาลัยบราวน์ สถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ มหาวิทยาลัยมิชิแกน และที่อื่น ๆ

เมื่อวันอาทิตย์ (21 เม.ย.) ประธานาธิบดีโจ ไบเดน แห่งสหรัฐฯ ประณามความเคลื่อนไหวต่อต้านยิวอย่างโจ่งแจ้ง โดยบอกสิ่งแบบนี้ไม่ควรมีที่ว่างตามมหาวิทยาลัยทั้งหลาย อย่างไรก็ตาม ทำเนียบขาวบอกเช่นกันว่าท่านประธานาธิบดีสนับสนุนเสรีภาพการแสดงออก ณ มหาวิทยาลัยต่าง ๆ ของสหรัฐฯ

© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top